สารบัญเนตติ ห้วเรื่อง, เลขข้อ | เนตติไฟล์เดียว html, text

เนตติปกรณ์แปล ข้อ 116 (+สาสนปัฏฐาน)

       [116] ในสาสนปัฏฐาน 28 นั้น "สกวจนะเป็นไฉน"
       พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"การไม่ทำบาปทั้งปวง การยังกุศลให้ถึงพร้อม การยังจิตให้ผ่องแผ้วนี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย" ดังนี้ พุทธพจน์นี้ ชื่อว่า สกวจนะ(เพราะเป็นดำรัสของพระพุทธเจ้า) ฯ
       ในพาลบัณฑิตสูตรตรัสว่า"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลักษณะแห่งความเป็นพาล นิมิตแห่งความเป็นพาล ความประพฤติแห่งความเป็นพาล 3 ประการเหล่านี้ มีอยู่แก่คนพาล ชนเหล่าอื่นย่อมรู้จักคนพาลด้วยเหตุเหล่าใดว่า เป็นคนพาล ดังนี้เหตุนั้นมี 3 ประการ เหตุ 3 ประการ เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพาลมักคิดแต่เรื่องที่คิดชั่ว มักพูดแต่เรื่องที่พูดชั่ว มักกระทำแต่กรรมที่ชั่วดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุ 3 ประการนี้แล ฯ""ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลักษณะแห่งความเป็นบัณฑิต นิมิตแห่งความเป็นบัณฑิต ความประพฤติแห่งความเป็นบัณฑิต 3 ประการเหล่านี้ มีอยู่แก่บัณฑิต ชนเหล่าอื่น ย่อมรู้จักบัณฑิตด้วยเหตุเหล่าใดว่า เป็นบัณฑิตดังนี้ เหตุนั้นมี 3 ประการ เหตุ 3 ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลายบัณฑิตมีปกติคิดแต่เรื่องที่คิดดี มีปกติพูดแต่คำพูดที่ดี มีปกติกระทำแต่กรรมดี ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุ 3 ประการเหล่านี้แล " ดังนี้ สูตรนี้ชื่อว่าสกวจนะ ฯ
       ในสาสนปัฏฐาน 28 นั้น "ปรวจนะเป็นไฉน"คำว่า "พื้นที่กว้างเสมอด้วยแผ่นดินย่อมไม่มี พื้นที่ลุ่มเสมอด้วยบาดาลย่อมไม่มี สิ่งที่สูงเสมอด้วยเขาสิเนรุย่อมไม่มี บุรุษผู้เช่นกับพระเจ้าจักรพรรดิ์ย่อมไม่มี" ดังนี้ เป็น ปรวจนะ (เป็นคำของเทวดา)ในสุภาสิตชยสูตรตรัสว่า"ท้าวเวปจิตติจอมอสูร ได้ตรัสว่า แน่ะจอมเทพ เราจงเอาชนะกันด้วยการกล่าวคำสุภาษิตเถิด ท้าวสักกะจอมเทพตรัสว่า แน่ะท้าวเวปจิตติตกลง เราจงเอาชนะกัน ด้วยการกล่าวคำสุภาษิต ดูก่อนเวปจิตติ ท่านจงกล่าวคาถา ดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้นแล ท้าวเวปจิตติจอมอสูรได้กล่าวคาถาว่าพวกคนพาลยิ่งกริ้วโกรธ ถ้าบุคคลไม่ตัดรอนเสีย ฉะนั้นนักปราชญ์ผู้มีปัญญา จึงควรกำจัดคนพาลเสียด้วยอาญาอันรุนแรง ดังนี้ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่่อท้าวเวปจิตติจอมอสูร ได้ตรัสคาถาแล้ว พวกอสูรพากันอนุโมทนา พวกเทวดาต่างก็พากันนิ่ง ลำดับนั้นแล ท้าวเวปจิตติจอมอสูร ได้กล่าวกะท้าวสักกะจอมเทพว่า แน่ะจอมเทพ ท่านจงกล่าวคาถาเถิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อท้าวเวปจิตติตรัสเช่นนี้แล้วท้าวสักกะจอมเทพได้ตรัสคาถานี้ว่าผู้ใด รู้ว่าผู้อื่นโกรธแล้ว เป็นผู้มีสติระงับไว้ได้ เราเห็นว่า การระงับไว้ของผู้นั้น เป็นเครื่องตัดรอนคนพาล ดังนี้ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อท้าวสักกะจอมเทพ ได้ภาษิตคาถาแล้ว พวกเทวดาก็พากันอนุโมทนา พวกอสูรต่างก็นิ่ง ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้นแลท้าวสักกะจอมเทพได้ตรัสกะท้าวเวปจิตติจอมอสูรว่า "แน่ะท้าวเวปจิตติท่านจงตรัสคาถาเถิด" ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อท้าวสักกะตรัสเช่นนี้ ท้าวเวปจิตติจอมอสูรได้ตรัสคาถานี้ว่า"ดูก่อนท้าววาสวะ เราเห็นโทษของความอดกลั้นนี้นั่นแหละ เพราะว่า เมื่อใด คนพาลย่อมสำคัญเห็นผู้อดกลั้นนั้นว่า "บุคคลนี้ย่อมอดกลั้นต่อเรา เพราะกลัว" เมื่่อนั้น คนพาล ผู้ทรามปัญญา ยิ่งข่มขี่ผู้อดกลั้นนั้นยิ่งขึ้น เหมือนโคข่มขี่โคตัวที่แพ้หนีไป ฉะนั้น" ดังนี้ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อท้าวเวปจิตติจอมอสูร ภาษิตคาถาแล้วพวกอสูรพากันอนุโมทนา พวกเทวดาต่างก็นิ่ง ลำดับนั้นแล ท้าวเวปจิตติจอมอสูร ได้กล่าวกะท้าวสักกะจอมเทพว่า "แน่ะ จอมเทพ ท่านจงตรัสคาถาเถิด" ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อท้าวเวปจิตติจอมอสูร ตรัสเช่นนี้แล้วท้าวสักกะจอมเทพ ได้ตรัสคาถาเหล่านี้ว่า"บุคคล ย่อมสำคัญเห็นว่า ผู้นี้อดกลั้นต่อเรา เพราะกลัว หรือหาไม่ก็ตาม ประโยชน์ทั้งหลาย มีประโยชน์ของตนเป็นอย่างยิ่ง ประโยชน์ยิ่งกว่าขันติย่อมไม่มี ผู้ใดแลเป็นคนมีกำลัง ย่อมอดกลั้นต่อคนทุรพลได้ความอดกลั้นของผู้นั้น บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า เป็นขันติอย่างยิ่ง คนทุรพลจำต้องอดทนอยู่เป็นนิจ บัณฑิตเรียกกำลังของผู้โง่เขลาอย่างคนพาลนั้นว่า มิใช่กำลัง ไม่มีคนใดที่จะกล่าวโต้ต่อคนที่มีกำลังอันธรรมคุ้มครองแล้วเพราะความโกรธนั้น บุคคลใด โกรธตอบบุคคลผู้โกรธแล้วบุคคลนั้นลามกกว่าบุคคลผู้โกรธแล้วนั้น บุคคลผู้ไม่โกรธตอบผู้ที่โกรธแล้วย่อมชื่อว่า ชนะสงครามที่ชนะได้ยาก ผู้ใดรู้ว่า ผู้อื่่นโกรธแล้ว เป็นผู้มีสติระงับไว้ได้ ผู้นั้น ชื่่อว่า ประพฤติประโยชน์ทั้งสองฝ่าย คือทั้งฝ่ายตนทั้งฝ่ายคนอื่น ชนเหล่าใดไม่ฉลาดในธรรม ชนเหล่านั้น ย่อมสำคัญเห็นผู้รักษาประโยชน์ทั้งสองฝ่ายนั้นว่าเป็นคนโง่" ดังนี้ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อท้าวสักกะจอมเทพ ได้ภาษิตคาถาเหล่านี้แล้ว พวกเทวดาพากันอนุโมทนา พวกอสูรต่างก็นิ่ง" พระสูตรนี้ ชื่อว่าปรวจนะ ฯ
[สารบัญ] | หน้าค้นหา
(ไม่สงวนลิขสิทธิ์)