สารบัญเนตติ ห้วเรื่อง, เลขข้อ | เนตติไฟล์เดียว html, text

เนตติปกรณ์แปล : +สาสนปัฏฐาน

[สารบัญ]
       
       [89] ในสาสนปัฏฐานนั้น มูลบท 18 พึงเห็นได้ ณ ที่ไหนมูลบท 18 นั้น พึงเห็นในสาสนปัฏฐาน ฯ ในสาสนปัฏฐาน
       อันเป็นไปกับมูลบทนั้น สาสนปัฏฐานนั้นเป็นไฉน
       สาสนปัฏฐานนั้น เป็นพระสูตรในส่วนแห่งสังกิเลส เป็นพระสูตรในส่วนแห่งวาสนา เป็นพระสูตรในส่วนแห่งสังกิเลสและในส่วนแห่งวาสนา เป็นพระสูตรในส่วนสังกิเลสและในส่วนแห่งปัญญาเครื่องแทงตลอด เป็นพระสูตรในส่วนสังกิเลสและในส่วนแห่งอเสกขะ เป็นพระสูตรในส่วนสังกิเลสและในส่วนแห่งปัญญาเครื่่องแทงตลอดและในส่วนแห่งอเสกขะ เป็นพระสูตรในส่วนแห่งวาสนาและในส่วนแห่งปัญญาเครื่องแทงตลอด เป็นพระสูตรในส่วนแห่งตัณหาสังกิเลส เป็นพระสูตรในส่วนแห่งทิฏฐิสังกิเลส เป็นพระสูตรในส่วนแห่งทุจริตสังกิเลส เป็นพระสูตรในส่วนแห่งตัณหาและโวทาน เป็นพระสูตรในส่วนแห่งทิฏฐิและโวทาน เป็นพระสูตรในส่วนแห่งทุจริตและโวทาน ฯ
       ในพระสูตรเหล่านั้น สังกิเลสมี 3 อย่างคือ ตัณหาสังกิเลส ทิฏฐิสังกิเลสและทุจริตสังกิเลส ฯ ในสังกิเลสเหล่านั้น ตัณหาสังกิเลส ย่อมหมดจดด้วยสมถะ สมถะนั้นเป็นสมาธิขันธ์ ฯ ทิฏฐิสังกิเลส ย่อมหมดจดด้วยวิปัสสนาวิปัสสนานั้นเป็นปัญญาขันธ์ ฯ ทุจริตสังกิเลสย่อมหมดจดด้วยสุจริต สุจริตนั้นเป็นศีลขันธ์ ฯ ถ้าความปรารถนาในภพย่อมเกิดแก่บุคคลผู้ตั้งอยู่ในศีลนั้น ผู้ยังไม่อาจตัดฉันทราคะในภพทั้งหลายได้ไซร้ บุญญกิริยาวัตถุอันสำเร็จด้วยภาวนาคือสมถะและวิปัสสนา มีอยู่ บุญญกิริยาวัตถุนี้ ย่อมให้เป็นไปพร้อมเพื่อการเกิดขึ้นในภพนั้น ๆ ฯ
       พระสูตร 4 เบื้องต้น มีพระสูตรอันเป็นส่วนแห่งสังกิเลสเป็นต้นเหล่านี้(เป็นอสาธารณะตามนัยแห่งฎีกาจารย์) พระสูตรที่เป็นสาธารณะท่านกระทำไว้ 8 สูตร 8 สูตรนั้นนั่นแหละกระทำไว้เป็น 16 สูตร ฯ
       ปริยัตติสูตรทั้งสิ้น 9 อย่าง (นวังคสัตถุศาสน์) มีสุตตะและเคยยะเป็นต้นท่านจำแนกโดยพระสูตร 16 เหล่านี้ ฯ พึงนับพระสูตรมีสังกิเลสภาคิยสูตร เป็นต้น อย่างไร
       คาถาพึงคำนวนด้วยคาถาอันเป็นประเภทแห่งสังกิเลสภาคิยะเป็นต้นไวยากรณ์พึงคำนวนด้วยไวยากรณ์อันเป็นประเภทแห่งสังกิเลสภาคิยะเป็นต้นพระสูตรพึงคำนวนด้วยพระสูตรอันเป็นประเภทแห่งสังกิเลสภาคิยะ เป็นต้น ฯ
       [90] ในโสฬสสูตรนั้น สังกิเลสภาคิยสูตรเป็นไฉน
       คาถาที่กล่าวไว้ในหนหลังว่า"สัตว์ทั้งหลายมืดมนเพราะกาม ถูกตัณหาซึ่งเป็นดุจข่ายปกคลุมไว้แล้ว ถูกเครื่องมุงคือตัณหาปกปิดไว้แล้ว ถูกกิเลสมารและเทวปุตตมารผูกพันไว้แล้ว ย่อมไปสู่ชราและมรณะ เหมือนปลาที่ปากไซ เหมือนลูกโคที่ยังดื่มนม ไปตามแม่โค ฉะนั้น" ดังนี้สูตรนี้ ชื่อว่า สังกิเลสภาคิยสูตร
       พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"ดูกรภิกษุทั้งหลาย การถึงอคตินี้มี 4 อย่าง 4 อย่างเป็นไฉน คือบุคคลย่อมถึงฉันทาคติ ย่อมถึงโทสาคติ ย่อมถึงโมหาคติและย่อมถึงภยาคติ ดูกรภิกษุทั้งหลาย การถึงอคติ 4 อย่างนี้แล" ฯ พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้สุคตศาสดา ได้ตรัสพระธรรมเทศนาไวยากรณ์ภาษิตนี้แล้ว ครั้นแล้วจึงตรัสนิคมคาถาประพันธ์นี้อีกว่า"บุคคลใด ย่อมประพฤติล่วงธรรมเพราะความรัก เพราะความชังเพราะความกลัว เพราะความหลง ยศของผู้นั้น ย่อมเสื่อมไป เหมือนดวงจันทร์ในวันกาฬปักษ์ ฉะนั้น" ดังนี้ ฯ สูตรนี้ ชื่อว่า สังกิเลสภาคิยสูตร
       พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า"ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐสุด สำเร็จแล้วด้วยใจถ้าบุคคลมีใจอันโทษประทุษร้ายแล้ว กล่าวอยู่ก็ตาม กระทำอยู่ก็ตามทุกข์ย่อมไปตามบุคคลนั้น เพราะทุจริต 3 อย่างนั้น เหมือนล้อหมุนไปตามรอยเท้าโคผู้ลากเกวียนไปอยู่ ฉะนั้น" ฯ สูตรนี้ ชื่อว่า สังกิเลสภาคิยสูตร
       พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า"เมื่อใด บุคคลเป็นผู้บริโภคมาก มักง่วงซึม นอนหลับ พลิกกลับไปมา ดุจสุกรใหญ่ อันบุคคลปรนปรือเหยื่อ เมื่อนั้น บุคคลนั้น เป็นคนเขลาย่อมเข้าห้องบ่อย ๆ" ดังนี้สูตรนี้ ชื่อว่า สังกิเลสภาคิยสูุตร
       พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า"สนิมเกิดขึ้นแต่เหล็ก ครั้นเกิดขึ้นแต่เหล็กแล้ว ย่อมกัดเหล็กนั่นแหละฉันใด กรรมของตน ย่อมนำบุคคลผู้มีปกติประพฤติล่วงปัญญา ชื่อ โธนาไปสู่ทุคติ ฉันนั้น" ดังนี้สูตรนี้ ชื่อว่า สังกิเลสภาคิยสูุตร
       พระรัฏฐบาลเถระได้ภาษิตไว้ว่า"โจร ผู้มีธรรมอันชั่วช้า ถูกเขาจับได้พร้อมทั้งของกลาง ย่อมเดือดร้อนและถูกจับเพราะกรรมของตน ฉันใด หมู่สัตว์ผู้มีธรรมอันชั่วช้านี้ละไปแล้ว ย่อมเดือดร้อนและถูกจับไปในปรโลกเพราะกรรมของตนฉันนั้น" ดังนี้สูตรนี้ ชื่อว่า สังกิเลสภาคิยสูุตร
       พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า"ผู้ใด แสวงหาความสุขเพื่อตน ย่อมเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลายผู้ใคร่ความสุขด้วยอาชญา ผู้นั้นย่อมไม่ได้ความสุขในโลกหน้า" ดังนี้สูตรนี้ ชื่อว่า สังกิเลสภาคิยสูตร
       พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า"เมื่อฝูงโคข้ามแม่น้ำอยู่ ถ้าโคผู้นำไปคดไซร้ โคเหล่านั้นทั้งหมดย่อมไปคด เพราะมีผู้นำไปคด ในหมู่มนุษย์ก็เหมือนกัน ผู้ใด ได้สมมติให้เป็นผู้นำ ถ้าผู้นั้นประพฤติอธรรมไซร้ จะกล่าวไปใยถึงปวงประชาเหล่านี้ก็ย่อมประพฤติอธรรมเหมือนกัน แว่นแคว้นทั้งหมด จะประสบความทุกข์เพราะผู้นำไม่ตั้งอยู่ในธรรม" ดังนี้สูตรนี้ ชื่อว่า สังกิเลสภาคิยสูตร
       พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า"มนุษย์เหล่านี้ มีรูปอันถึงความลำบากแล้วหนอ ยินดีในอุปธิทั้งหลายแล้ว ย่อมทำบาป มนุษย์เหล่านั้น ย่อมไปสู่นรกอเวจีอันน่ากลัว อันเป็นที่อยู่ของชนหมู่มาก" ดังนี้สูตรนี้ ชื่อว่า สังกิเลสภาคิยสูุตรพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า"ผลกล้วยย่อมฆ่าต้นกล้วย ขุยไผ่ย่อมฆ่าต้นไผ่ ดอกอ้อย่อมฆ่าต้นอ้อ ลูกม้าอัสสดรย่อมฆ่าแม่ม้าอัสสดร ฉันใด สักการะย่อมฆ่าบุรุษชั่วฉันนั้น" ดังนี้สูตรนี้ ชื่อว่า สังกิเลสภาคิยสูุตรพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า"ภิกษุ เป็นผู้หนักในความโกรธและความลบหลู่ในคุณของผู้อื่นหนักในลาภและสักการะ ย่อมไม่งอกงามในพระสัทธรรม เหมือนเมล็ดพืชเน่าที่บุคคลหว่านแล้ว แม้ในนาดี ฉะนั้น" ดังนี้สูตรนี้ ชื่อว่า สังกิเลสภาคิยสูตร
       [91] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า"ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากำหนดใจด้วยใจอย่างนี้แล้ว ย่อมรู้ชัดบุคคลบางคนในโลกนี้ ผู้มีจิตอันโทษประทุษร้ายแล้วว่า บุคคลนี้แล ย่อมเคลื่อนย่อมดำเนินไปในทางที่ผิด ถ้าบุคคลนี้ พึงทำกาละในสมัยนี้ พึงตกนรกเหมือนถูกนำไปขังไว้ในนรก ข้อนี้เพราะเหตุอะไร เพราะจิตของเขาอันโทษประทุษร้ายแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะจิตประทุษร้ายเป็นเหตุแลเมื่อกายแตกตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก" ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้ไว้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคาถาประพันธ์ ดังนี้ว่า"พระพุทธเจ้าทรงทราบบุคคลบางคนในโลกนี้ ผู้มีจิตอันโทษประทุษร้ายแล้ว ได้พยากรณ์เนื้อความนี้แก่ภิกษุทั้งหลายในสำนักของพระองค์ว่าถ้าในสมัยนี้ บุคคลพึงทำกาละไซร้ เขาพึงเข้าถึงนรก เพราะจิตของเขาขุ่นมัว เขาเป็นอย่างนั้น เหมือนถูกนำมาทอดทิ้งไว้ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลายย่อมไปสู่ทุคติเพราะเหตุที่จิตขุ่นมัว บุคคลนั้นมีปัญญาทราม ย่อมเข้าถึงนรกเพราะกายแตก" ดังนี้เนื้อความแม้นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล ฯ
       สูตรนี้ ชื่อว่า สังกิเลสภาคิยสูตร
       พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า"ถ้าท่านทั้งหลายกลัวต่อความทุกข์ ถ้าความทุกข์ไม่เป็นที่รักของท่านทั้งหลายไซร้ ท่านทั้งหลายอย่าได้ทำบาปกรรมทั้งในที่แจ้งหรือในที่ลับถ้าท่านทั้งหลายจักทำหรือทำอยู่ซึ่่งบาปกรรมไซร้ ท่านทั้งหลายแม้จะเหาะหนีไป ก็ย่อมไม่พ้นไปจากความทุกข์" ดังนี้สูตรนี้ ชื่อว่า สังกิเลสภาคิยสูตร
       พระสูตรใดที่กล่าวไว้ว่า"คนพาลเหล่าใด ได้ทรัพย์โดยไม่เป็นธรรม และด้วยการพูดเท็จย่อมสำคัญทรัพย์ทั้ง 2 นั้น ว่าเป็นของเราดังนี้ ทรัพย์นั้นของคนพาลเหล่านั้น จักมีโดยประการใดหนอ อันตรายทั้งหลายจักมี ทรัพย์อันคนพาลนั้นรวบรวมไว้จักพินาศ เมื่อตาย ย่อมไม่ไปสุคติ เพราะอันความเสื่อมในโลกนี้และโลกหน้าขจัดแล้ว" ดังนี้สูตรนี้ ชื่อว่า สังกิเลสภาคิยสูตร
       พระสูตรใดที่กล่าวไว้ว่า"คนพาลย่อมทำลายตนอย่างไร ย่อมเสื่อมจากมิตรทั้งหลายอย่างไรคนพาลนั้นย่อมไม่เจริญเพราะธรรมอะไร ย่อมไม่ไปสู่สุคติ เพราะอะไร คนพาลย่อมทำลายตนเพราะโลภะ คนโลภย่อมเสื่อมจากมิตรทั้งหลาย ย่อมไม่เจริญเพราะโลภะ ย่อมไม่ไปสุคติเพราะโลภะ" ดังนี้แม้สูตรนี้ ชื่อว่า สังกิเลสภาคิยสูตร
       พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า"คนพาลมีปัญญาทราม มีตนเหมือนข้าศึก เที่ยวทำบาปกรรมอันมีผลเผ็ดร้อน บุคคลทำกรรมใดแล้ว ย่อมเดือดร้อนในภายหลัง กรรมนั้นทำแล้วไม่ดี บุคคลมีหน้าชุ่มด้วยน้ำตา ร้องไห้อยู่ ย่อมเสพผลของกรรมใดกรรมนั้นทำแล้ว ไม่ดี" ดังนี้สูตรนี้ ชื่อว่า สังกิเลสภาคิยสูตร
       เทวดากล่าวว่า
       "ธรรมของสมณะ คนไม่ฉลาด ทำได้ยาก ทนได้ยาก เพราะธรรมของสมณะนั้น มีความลำบากมาก ในความเป็นแห่งสมณะ เป็นที่ติดขัดข้องของคนพาล" ดังนี้สูตรนี้ ชื่อว่า สังกิเลสภาคิยสูุตร
       คำกล่าวว่า "จริงอยู่ บุคคลใด เมื่อพระตถาคตกำลังแสดงอรรถะและธรรมะ เป็นคนพาลย่อมยังใจให้ประทุษร้าย ชีวิตของบุคคลนั้นย่อมเป็นโมฆะแลก็บุคคลใด ยังไม่ปราศจากราคะ ย่อมยังจิตให้ประทุษร้ายในพระตถาคตผู้มีคุณไม่มีประมาณ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ย่อมติเตียนคนนั้นว่าเป็นผู้มีทุกข์ และมีบาปยิ่งกว่าทุกข์นั้น" ดังนี้สูตรนี้ ชื่อว่า สังกิเลสภาคิยสูตร
       สุทธาวาสพรหม ปรารภพระกตโมรกติสสกะ ได้กล่าวคาถานี้ ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า"ใครเล่า ผู้มีปัญญาในโลกนี้ จะพึงกำหนดวัดซึ่งพระขีณาสพผู้มีคุณไม่มีประมาณได้ ข้าพระองค์ย่อมเห็นผู้นั้นว่า ไม่มีธุตธรรม ไม่มีปัญญา วัดอยู่ซึ่งพระขีณาสพผู้อันบุคคลไม่พึงประมาณ" ดังนี้สูตรนี้ ชื่อว่า สังกิเลสภาคิยสูตร
       ตุทุปัจเจกพรหมได้กล่าวกะโกกาลิกภิกษุว่า "คนพาล เมื่อกล่าวคำทุพภาษิต ชื่อว่า ย่อมตัดตนด้วยศาสตราใด ก็ศาสตรานั้น ย่อมเกิดในปากของบุรุษผู้เกิดแล้ว จริงอยู่ ศาสตราที่เขาลับดีแล้ว ยาพิษที่มีพิษกล้าย่อมเป็นไปโดยประการใด วาจาทุพภาษิต ย่อมยังสัตว์ผู้ทำผิดให้ตกไป โดยประการนั้น หามิได้ เพราะวาจาทุพภาษิตนั้นย่อมให้ตกไปในอบาย" ดังนี้สูตรนี้ ชื่อว่า สังกิเลสภาคิยสูตร
       [92] ตุทุปัจเจกพรหมกล่าวต่อไปว่า"ผู้ใด สรรเสริญผู้ที่ควรติหรือติผู้ที่ควรสรรเสริญ ผู้นั้น ชื่อว่าสั่งสมโทษด้วยปาก เพราะโทษนั้น เขาย่อมไม่ประสบความสุข ความปราชัยด้วยทรัพย์ ในเพราะการพนันทั้งหลาย พร้อมด้วยสิ่งของอันเป็นของตนทั้งหมดก็ดี พร้อมด้วยตนก็ดี ก็เป็นโทษเพียงเล็กน้อย บุคคลใดทำใจให้ประทุษร้าย ในท่านทั้งหลายผู้ดำเนินไปโดยชอบ ความประทุษร้ายแห่งใจของบุคคลนั้น เป็นโทษใหญ่กว่า บุคคลตั้งวาจาและใจอันลามกไว้ เป็นผู้มักติเตียนพระอริยเจ้าย่อมเข้าถึงนรก ซึ่งมีประมาณแห่งอายุถึงแสนสามสิบหกนิรัพพุทะกับห้าอัพพุทะ" ดังนี้สูตรนี้ ชื่อว่า สังกิเลสภาคิยสูตร
       พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสประพันธ์คาถาว่า"ผู้ประกอบเนือง ๆ ในคุณคือความโลภ ไม่มีศรัทธา กระด้างคือห้ามคนอื่นไม่ให้ทำทาน ไม่รู้ความประสงค์ของผู้ขอ มีความตระหนี่ ประกอบเนือง ๆ ในคำส่อเสียด ย่อมบริภาษผู้อื่นด้วยวาจาแน่ะคนผู้มีปากเป็นหล่มกล่าวคำอันไม่จริง แน่ะอสัตบุรุษ ผู้กำจัดความเจริญ ผู้ลามก ผู้กระทำความชั่ว ผู้เป็นบุรุษอธรรม เป็นคนกลี เป็นอวชาติ ท่านอย่าได้พูดมากในที่นี้ อย่าเป็นสัตว์นรกท่านย่อมเกลี่ยธุลีคือกิเลสลงในตน ผู้กระทำกรรมมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล ผู้กระทำกรรมหยาบ ย่อมติเตียนสัตบุรุษ ท่านประพฤติทุจริตเป็นอันมากแล้ว ย่อมไปสู่นรกสิ้นกาลนาน" ดังนี้สูตรนี้ ชื่อว่า สังกิเลสภาคิยสูตร
       ในพระสูตร 16 นั้น สูตรชื่่อว่า วาสนาภาคิยะเป็นไฉน
       พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐที่สุด สำเร็จแล้วแต่ใจถ้าบุคคลมีใจผ่องใส กล่าวอยู่ก็ตาม กระทำอยู่ก็ตาม สุขย่อมไปตามบุคคลนั้น เพราะสุจริต 3 อย่างนั้น เหมือนเงามีปกติไปตามตัว ฉะนั้น" ดังนี้สูตรนี้ ชื่อว่า วาสนาภาคิยสูตร
       [93] เจ้ามหานามศากยราช ได้กราบทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระนครกบิลพัสดุ์นี้ เป็นพระนครมั่งคั่งเจริญรุ่งเรือง มีผู้คนมาก แออัดไปด้วยมนุษย์ มีถนนคับแคบ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันนั่งใกล้ (เยี่ยมเยียน) พระผู้มีพระภาคเจ้าหรือนั่งใกล้ภิกษุทั้งหลาย ผู้เป็นที่เจริญใจแล้ว เมื่อเข้าไปยังพระนครกบิลพัสดุ์ในเวลาเย็น ย่อมไม่เข้าไปพร้อมกับช้าง ม้า รถ เกวียน และแม้กับบุรุษสมัยนั้น หม่อมฉันลืมสติที่ปรารภถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า พระธรรมพระสงฆ์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันมีความดำริว่า ถ้าในเวลาเย็นเราพึงทำกาละ คติของเราจะเป็นอย่างไร อภิสัมปรายภพจะเป็นอย่างไร"พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"ขอถวายพระพร มหาบพิตรอย่ากลัวเลย ๆ การสวรรคตอันไม่เลวทรามจักมีแก่มหาบพิตร กาลกิริยาอันไม่เลวทรามจักมีแก่มหาบพิตรดูกรมหาบพิตร อริยสาวกผู้ประกอบด้วยธรรม 4 ประการ ย่อมเป็นผู้น้อมไปสู่นิพพาน โน้มไปสู่นิพพาน โอนไปสู่นิพพาน ธรรม 4 ประการเป็นไฉน อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหว ในพระพุทธเจ้าว่า อิติปิโส ภควา อรหํ ฯลฯ พุทฺโธ ภควา ดังนี้เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใส อันไม่หวั่นไหวในพระธรรม ฯลฯ ในพระสงฆ์ ฯลฯ ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้วไม่ขาด ฯลฯ เป็นไปเพื่อสมาธิทั้งหลาย ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนต้นไม้ ที่น้อมไป โน้มไปโอนไป ทางทิศปราจีน เมื่อรากขาดแล้ว จะพึงล้มไปทางไหน" "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พึงล้มไปทางต้นไม้น้อมไป โน้มไป โอนไป พระเจ้าข้า""ดูกรมหาบพิตร ฉันนั้นเหมือนกัน อริยสาวก ผู้ประกอบด้วยธรรม 4เหล่านี้แล ย่อมเป็นผู้น้อมไปสู่พระนิพพาน โน้มไปสู่พระนิพพาน โอนไปสู่พระนิพพาน ขอถวายพระพร มหาบพิตรอย่ากลัวเลย การสวรรคตอันไม่เลวทรามจักมีแก่มหาบพิตร กาลกิริยาอันไม่เลวทรามจักมีแก่มหาบพิตร" ดังนี้สูตรนี้ ชื่อว่า วาสนาภาคิยสูตร
       พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"ผู้ใด แสวงหาความสุขเพื่่อตน ย่อมไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลายผู้ใคร่กามสุขด้วยอาชญา ผู้นั้นย่อมได้รับความสุขในโลกหน้า" ดังนี้สูตรนี้ ชื่อว่า วาสนาภาคิยสูตร
       พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"เมื่อฝูงโคข้ามแม่น้ำอยู่ ถ้าโคผู้นำไปตรงไซร้ โคเหล่านั้นทั้งหมดย่อมไปตรง เพราะมีผู้นำไปตรง ในหมู่มนุษย์ก็เหมือนกัน ผู้ใด ได้รับสมมติให้เป็นผู้ประเสริฐสุด (พระราชา) ถ้าผู้นั้นประพฤติธรรมไซร้ จะป่วยกล่าวไปใยถึงปวงประชานอกนี้ ก็ย่อมประพฤติธรรมเหมือนกัน ชาวแว่นแคว้นทั้งหมดจะประสบความสุข เพราะพระราชาตั้งมั่นอยู่ในธรรม" ดังนี้สูตรนี้ ชื่อว่า วาสนาภาคิยสูุตร
       [94] พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ภิกษุมากรูปย่อมกระทำจีวรกรรมเพื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยคิดว่าพระผู้มีพระภาคเจ้ามีจีวรสำเร็จแล้ว จะเสด็จจาริกไปโดยล่วงสามเดือน ก็สมัยนั้น พวกช่างไม้นามว่า อิสิทัตตะและปุราณะ อาศัยอยู่ในเมืองสาเกตด้วยกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง พวกเขาทั้ง 2 นั้น ได้ข่าวว่า "ได้ยินว่า ภิกษุมากรูปย่อมกระทำจีวรกรรม เพื่่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยคิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้ามีจีวรสำเร็จแล้ว จะเสด็จจาริกไปโดยล่วงสามเดือน" ดังนี้ครั้งนั้นแล ช่างไม้นามว่า อิสิทัตตะและปุราณะ จึงวางบุรุษไว้ในหนทางโดยสั่งว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ท่านเห็นพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาในเวลาใด พึงบอกพวกเราในเวลานั้น ดังนี้ บุรุษนั้นยืนอยู่ที่นั้น 2-3 วัน ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จมาแต่ไกล จึงเข้าไปหาช่างไม้ทั้ง 2 นั้น แล้วบอกว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กำลังเสด็จมา ขอพวกท่านจงทราบกาลอันควรในบัดนี้เถิด ดังนี้
       ครั้งนั้นแล ช่างไม้ทั้ง 2 นามว่า อิสิทัตตะและปุราณะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว เดินตามพระผู้มีพระภาคเจ้าไปข้างพระปฤษฎางค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแวะจากหนทาง เสด็จเข้าไปยังโคนไม้แห่งหนึ่ง แล้วประทับนั่งบนอาสนะที่เขาปูลาดถวาย ช่างไม้ทั้ง 2 นามว่า อิสิทัตตะและปุราณะ อภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วนั่ง ณ ที่่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เวลาใด พวกข้าพระองค์ ได้ฟังข่าวพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า จักเสด็จจาริกจากพระนครสาวัตถีไปในโกศลชนบท เวลานั้น พวกข้าพระองค์มีความเสียใจ น้อยใจว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าจักห่างพวกเราไป เวลาใด ได้ข่าวว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกจากพระนครสาวัตถี ไปในโกศลชนบทแล้ว เวลานั้น พวกข้าพระองค์มีความเสียใจน้อยใจว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าห่างพวกเราไปแล้ว" ดังนี้ ฯลฯ
       "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เวลาใด พวกข้าพระองค์ ได้ฟังข่าวพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า จักเสด็จจาริกจากแคว้นกาสีไปในมคธ เวลานั้น พวกข้าพระองค์มีความเสียใจ น้อยใจว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าจักห่างพวกเราไปเวลาใด ได้ข่าวว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกจากแคว้นกาสีไปในมคธแล้ว เวลานั้น พวกข้าพระองค์ มีความเสียใจ น้อยใจว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าห่างพวกเราไปแล้ว" ดังนี้ ฯลฯ
       "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เวลาใด พวกข้าพระองค์ ได้ฟังข่าวพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า จักเสด็จจาริกจากมคธไปในกาสี เวลานั้น พวกข้าพระองค์มีความดีใจปลื้มใจว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า จักใกล้พวกเรา ก็เวลาใด ได้ข่าวว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกจากมคธไปในกาสีแล้ว ดังนี้ พวกข้าพระองค์มีความดีใจ ปลื้มใจว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าใกล้พวกเราแล้ว"ดังนี้ ฯลฯ
       "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เวลาใด พวกข้าพระองค์ ได้ฟังข่าวพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า จักเสด็จจาริกจากโกศลไปสู่พระนครสาวัตถี เวลานั้นพวกข้าพระองค์มีความดีใจปลื้มใจว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าจักใกล้พวกเราดังนี้ เวลาใด พวกข้าพระองค์ได้ข่าวว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ทรงประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ดังนี้ พวกข้าพระองค์มีความดีใจมากปลื้มใจมากว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า ใกล้พวกเราแล้ว" ดังนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"ดูกรช่างไม้ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ ฆราวาสคับแคบ เป็นทางแห่งธุลี บรรพชาชื่อว่า โอกาสอันว่าง เพราะอรรถะว่า ไม่มีปลิโพธเป็นเครื่องกังวล ดูกรช่างไม้ทั้งหลาย ก็การที่ท่านทั้งหลายผู้อยู่ครองเรือนมีความคับแคบอย่างนี้ สมควรแล้ว เพื่อทำความไม่ประมาท""ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความคับแคบอย่างอื่น ที่เป็นความคับแคบกว่า และที่นับว่าคับแคบยิ่งกว่าความคับแคบนี้ มีอยู่หนอ""ดูกรนายช่างไม้ ความคับแคบของท่าน เป็นไฉน""ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส เมื่อใดพระเจ้าปเสนทิโกศล มีพระราชประสงค์จะเสด็จออกไปยังพระราชอุทยาน เมื่อนั้นข้าพระองค์ทั้งหลายต้องกำหนดช้างที่ขึ้นทรงของพระเจ้าปเสนทิโกศลแล้วให้พระชายาที่โปรดปราน ที่พอพระทัยของพระเจ้าปเสนทิโกศลประทับข้างหน้าพระองค์หนึ่ง ข้างหลังพระองค์หนึ่ง กลิ่นของพระชายาเหล่านั้นเป็นอย่างนี้ คือ เหมือนกลิ่นของนางราชกัญญาผู้ประพรมด้วยของหอม ดังขวดน้ำหอมที่เขาเปิดในขณะนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กายสัมผัสของพระชายาเหล่านั้น เป็นอย่างนี้ คือ เหมือนกายสัมผัสของนางราชกัญญาผู้ดำรงอยู่ด้วยความสุข ดังปุยนุ่น หรือปุยฝ้าย ก็ในสมัยนั้น แม้ช้างข้าพระองค์ทั้งหลายก็ต้องระวัง แม้ชายาทั้งหลาย พวกข้าพระองค์ก็ต้องระวังแม้พระเจ้าปเสนทิโกศลเล่า พวกข้าพระองค์ก็ต้องระวัง แม้ตัวข้าพระองค์ทั้งหลายก็ต้องระวัง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ไม่รู้ว่า จิตอันลามก บังเกิดขึ้นในพระชายาเหล่านั้นเลย ข้อนี้แล คือ ความคับแคบอย่างอื่นที่คับแคบกว่า และที่นับว่าเป็นความคับแคบยิ่งกว่าความคับแคบ"
       ดังนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"ดูกรช่างไม้ทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแหละการครองเรือนจึงคับแคบเป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง ดูกรช่างไม้ ก็การอยู่ครองเรือนคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลีอย่างนี้ สมควรแล้วเพื่อทำความไม่ประมาท"
       "ดูกรช่างไม้ทั้งหลาย อริยสาวกประกอบด้วยธรรม 4 ประการย่อมเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ข้างหน้า"
       "ธรรม 4 ประการเป็นไฉน ดูกรนายช่างไม้ อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ประกอบด้วยความเลื่่อมใสอันไม่หวั่นไหว ในพระพุทธเจ้าว่า แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ฯลฯ ในพระธรรม ฯลฯ ในพระสงฆ์ ฯลฯ มีใจปราศจากมลทินคือความตระหนี่ อยู่ครองเรือน มีจาคะอันปล่อยแล้ว มีฝ่ามืออันชุ่ม ยินดีในการสละ ควรแก่การขอ ยินดีในการจำแนกทาน กระทำการเฉลี่ยไทยธรรม ดูกรนายช่างไม้ทั้งหลายอริยสาวก ผู้ประกอบด้วยธรรม 4 ประกากรเหล่านี้แล เป็นพระโสดาบันมีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า"
       "ดูกรนายช่างไม้ทั้งหลาย ท่านทั้งหลายประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ฯลฯ ในพระธรรม ฯลฯ ในพระสงฆ์ ฯลฯ ก็ไทยธรรมสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีอยู่ในตระกูล ท่านเฉลี่ยไทยธรรมนั้นทั้งหมด กับผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม ท่านทั้งหลาย จะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ชนเหล่าใด เป็นผู้มีศีล เป็นต้น มีประมาณเท่าไร ในแคว้นโกศล ชนเหล่านั้นท่านพึงแบ่งทำให้เสมอกันจำแนกทาน" ดังนี้"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เป็นลาภของข้าพระองค์ทั้งหลาย ข้าพระองค์ได้ดีแล้ว ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบพฤติการณ์อย่างนี้ของข้าพระองค์ทั้งหลาย" ดังนี้สูตรนี้ ชื่่อว่า วาสนาภาคิยสูตร
       [95] พระสูตรใดที่กล่าวว่า "เราสละดอกไม้เพียงดอกเดียวบูชาแล้ว ก็ได้ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายตลอดหมื่นล้านกัป ด้วยวิบากที่เหลือเป็นผู้ปรินิพพานแล้ว" ดังนี้สูตรนี้ ชื่่อว่า วาสนาภาคิยสูตร
       พระสันธิตเถระกล่าวคาถาว่า"เราเป็นผู้มีสติ ได้อนิจจสัญญา ที่เป็นไปในพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ที่่ต้นอัสสัตถพฤกษ์อันพระรัศมีนำมาแล้ว ถอยไป 30 กัปแห่งภัททกัปนี้ เราย่อมไม่รู้จักทุคติ วิชชา 3 เรากระทำให้แจ้งแล้ว เพราะการอบรมสัญญาอันเป็นไปในพระพุทธเจ้านั้น" ดังนี้สูตรนี้ ชื่่อว่า วาสนาภาคิยสูตร
       พระสูตรใดที่กล่าวไว้ว่า"พระสัมมาพุทธมุนี ผู้ฆ่าตัณหา เป็นอัครบุคคลผู้อนุเคราะห์ ได้เสด็จเข้าไปยังโกศลบุรี เพื่อทรงรับบิณฑะ ในกาลก่อนกาลแห่งภัตร บุรุษคนหนึ่ง มีเครื่องประดับด้วยดอกไม้นานาชนิดอยู่ในมือ ได้เห็นพระสัมพุทธะผู้อันหมู่แห่งภิกษุกระทำไว้เบื้องหน้า ผู้อันเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายบูชาแล้ว กำลังเสด็จเข้าไป โดยทางแห่งพระราชา จึงร่าเริงแล้ว ยังจิตให้เลื่อมใสแล้ว ได้เข้าไปยังสำนักพระสัมพุทธะ บุรุษนั้น ครั้นเข้าไปแล้ว มีความเลื่อมใสจึงกระทำขั้วดอกไม้ให้มีสีสวย อันมีกลิ่นหอม อันเป็นที่รื่่นเริงใจแล้วน้อมไปเพื่อพระสัมพุทธะ ด้วยมือทั้งสองของตน ลำดับนั้นเปลวพระรัศมีอันรุ่งโรจน์ ในภายในแห่งวาจาที่เปล่งออกของพระพุทธเจ้าเป็นสหัสสรังสี ดุจสายฟ้าแลบออกจากกลีบเมฆ สหัสสรังสีออกจากพระรัศมี ไปกระทำประทักษิณสิ้น 3 รอบ ที่พระเศียรแห่งพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธ์แห่งพระอาทิตย์ ครั้นทำประทักษิณแล้วก็อันตรธานไปในพระเศียร พระอานนท์เห็นปาฏิหาริย์อันอัศจรรย์ อันไม่เคยมี กระทำให้ขนชูชันนี้แล้ว จึงกระทำผ้าเฉวียงบ่าแล้วได้กราบทูลคำนี้ว่า ข้าแต่พระมหามุนี อะไรเป็นเหตุแห่งการแย้ม ขอพระองค์ทรงพยากรณ์เหตุนั้น ข้าแต่พระมุนี แสงสว่างแห่งธรรมจักมี ขอพระองค์ทรงเปลื้องความสงสัยของข้าพระองค์เถิด ญาณในสัทธรรมทั้งปวงของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด ย่อมเป็นไปทุกเมื่อ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงข้ามความสงสัยได้ตรัสกับพระอานนท์ผู้มีความสงสัยอย่างนี้ว่า ดูกรอานนท์ บุรุษใด ยังจิตให้เลื่อมใสในเรา บุรุษนั้นจักไม่ไปสู่ทุคติ 84 กัป จักปกครองราชอาณาจักรอันเป็นทิพย์ เป็นเทพมีความงามในเทวดาทั้งหลาย ในมนุษย์จักเป็นจอมราชาในมนุษย์ทั้งหลาย บุคคลนั้น บวชแล้วในภพสุดท้ายจักทำให้แจ้งซึ่งสัจจธรรม 4 หรือจักเป็นพระปัจเจกโพธิ นามว่า วฏังสกะผู้มีราคะอันขจัดแล้ว เมื่อจิตเลื่อมใสในพระตถาคตสัมมาสัมพุทธะ หรือในสาวกของพระตถาคต ทักขิณาย่อมไม่ชื่อว่า มีผลน้อย พระพุทธเจ้าทั้งหลาย อันใคร ๆ ไม่อาจคิดได้ ธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหลายอันใคร ๆไม่อาจคิดได้ เมื่อบุคคลเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าและพระธรรมอันใคร ๆไม่อาจคิดได้ ย่อมมีวิบากอันใคร ๆ ไม่อาจคิดได้" ดังนี้สูตรนี้ ชื่อว่า วาสนาภาคิยสูตร
       [96] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากำหนดรู้จิตด้วยจิต ย่อมรู้บุคคลบางคนในโลกนี้ ผู้มีจิตเลื่อมใสแล้วว่า บุคคลนี้ย่อมดำเนินไปอย่างไร เป็นผู้ดำเนินไปสู่ปฏิปทามีทานเป็นต้น และยังมรรคมีทัสสนะเป็นต้นให้งอกงามแล้วถ้าบุคคลนี้ พึงทำกาละในสมัยนี้ ก็พึงเกิดในสุคติ เหมือนบุคคลเชิญมาไว้ด้วยทานนั้น ด้วยมรรคนั้น ฉะนั้น ข้อนี้เพราะเหตุอะไร เพราะจิตของเขาผ่องใส ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะเหตุแห่งจิตแล สัตว์บางพวกในโลกนี้เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์" พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
       "พระพุทธเจ้า ทรงทราบบุคคลบางคนในโลกนี้ ผู้มีจิตผ่องใส ได้พยากรณ์เนื้อความนี้แก่ภิกษุทั้งหลาย ในสำนักพระองค์ว่า ถ้าในสมัยนี้บุคคลนี้พึงทำกาละไซร้ บุคคลนี้พึงเข้าถึงสุคติ เพราะจิตของเขาผ่องใสเขาเป็นอย่างนั้น เหมือนเชิญมาไว้ เพราะเหตุแห่งจิตผ่องใสแล บุคคลผู้มีปัญญานั้น ย่อมเข้าถึงสุคติ เพราะกายแตกไป" ดังนี้ เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล ฯ
       สูตรนี้ ชื่อว่า วาสนาภาคิยสูตร
       พระสูตรใดที่กล่าวว่า"ดูกรเทพนารี ท่านขึ้นนั่งบนวิมานเรือ หุ้มไว้ด้วยทองคำ ด้วยบุญกรรม เล่นในสระโบกขรณี เก็บดอกปทุมอยู่ ท่านมีวรรณะเช่นนี้ เพราะบุญอะไร ท่านมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ เพราะบุญอะไร โภคะทั้งหลายอย่างใดอย่างหนึ่ง อันใจปรารถนาแล้ว ย่อมเกิดแก่ท่าน เพราะบุญอะไรดูกรเทวดา เราขอถามท่าน นี้เป็นผลแห่งกรรมอะไร" เทพนารีนั้น ผู้อันเทวราชถามแล้ว มีใจยินดี (ท่านพระมหาโมคคัลลานะกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า) "ข้าพระองค์สดับมาว่า เทวดานั้นผู้อันเทวราชถามปัญหาแล้วได้พยากรณ์ในสำนักแห่งท้าวสักกเทวราชว่า หม่อมฉันเดินทางไกลเห็นพระสถูป อันเป็นที่รื่นรมย์งดงาม ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะผู้ทรงยศ ได้ยังใจให้เลื่อมใสในพระสถูปนั้น หม่อมฉันเลื่อมใสแล้วได้บูชาด้วยดอกปทุม ด้วยมือทั้ง 2 ของหม่อมฉัน ผลทั้งปวงนี้เป็นวิบากแห่งกรรมนั้น หม่อมฉันกระทำบุญแล้วจึงได้ผลเช่นนี้" ดังนี้สูตรนี้ ชื่อว่า วาสนาภาคิยสูตร
       พระสูตรใดที่กล่าวถึงทานและผลแห่งทาน ศีลและผลแห่งศีล สวรรค์และการให้เกิดในสวรรค์ บุญ 10 มีทาน มีศีล และภาวนาเป็นต้น และกล่าวถึงผลแห่งบุญ 10 เหล่านั้น สูตรนี้ ชื่่อว่า วาสนาภาคิยสูตร
        อีกอย่างหนึ่ง "เมื่อสถูปดินที่เขากระทำอุทิศพระสัมมาสัมพุทธะ บรรจุพระสรีรธาตุไว้ภายใน นระเหล่าใดมีใจเลื่อมใส นระเหล่านั้น พึงทำการนอบน้อมในสถูปแม้นั้นแล้วย่อมบันเทิงในสวรรค์ทั้งหลาย"คำที่กล่าวนี้ก็ชื่อว่า วาสนาภาคิยสูตร
       [97] พระสูตรใดที่กล่าวว่า"ชนทั้งหมด มีวรรณะเช่นกับเทพบุตร มีสัณฐานงดงาม เพราะทำดินให้ชุ่มด้วยน้ำสร้างสถูปของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธะ ข้าแต่ท่านทั้งหลายผู้ดำเนินไปดีแล้ว พระสถูปนี้เป็นของพระสุคต ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ ผู้ทรงไว้ซึ่งพลธรรม 10 ประการ พวกเทวดาและมนุษย์เลื่อมใสในพระสถูปนั้นแล้ว กระทำการนอบน้อมอยู่ จักพ้นจากชรามรณะ" ดังนี้สูตรนี้ชื่อว่า วาสนาภาคิยสูตร
       สูตรใดที่กล่าวว่า"ข้าพเจ้าได้ยกอุบล 4 ดอก และพวงมาลัยขึ้นสู่สถูปของพระพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ บุญนั้น ข้าพเจ้ากระทำแล้ว เป็นบุญโอฬาร(ประเสริฐ) ได้มีแล้วหนอ นับแต่ภัททกัปนี้ถอยไป 30 กัป ข้าพเจ้าไม่รู้จักทุคติ ไม่ไปสู่วินิบาต เพราะบูชาสถูปของพระศาสดา" ดังนี้สูตรนี้ ชื่อว่า วาสนาภาคิยสูตร
       
       สูตรใดที่ท่านกล่าวว่า"ข้าพเจ้า ได้บูชาสถูปของพระโลกนาถผู้ชนะมาร ผู้ทรงไว้ซึ่งพระลักษณะ 32 ประการ จึงเป็นผู้มีใจร่าเริงในอายุกัปสิ้นแสนอัตภาพ บุญใดที่ข้าพเจ้ากระทำไว้ ด้วยบุญนั้น ข้าพเจ้าไม่ไปสู่วินิบาตเลย บุญเหล่านั้นได้กระทำสมบัติอันเลิศ และความเป็นพระราชาอันประเสริฐทั้งหลายปัญญาจักษุใด อันข้าพเจ้าตั้งไว้แล้ว ในศาสนาของพระโลกนาถผู้ฝึกคนที่ยังไม่ได้ฝึก วิมุตตจิตใดที่ตั้งไว้อย่างนั้น ปัญญาจักษุและวิมุตตจิตนั้นทั้งหมด ข้าพเจ้าได้แล้ว ข้าพเจ้าเป็นผู้ขจัดตัณหาเพียงดังเครือเถาได้แล้วเป็นผู้พร้อมด้วยผลวิมุตตจิต" ดังนี้สูตรนี้ ชื่อว่า วาสนาภาคิยสูตร
       [98] สูตรใดที่ท่านกล่าวว่า"ก็ข้าพเจ้าได้ถวายไทยธรรม เพียงข้าวฟ่างและข้าวสุกประมาณทะนานหนึ่ง ในพระปัจเจกพุทธะ ผู้มีจิตหลุดพ้นแล้ว ผู้ไม่กระด้าง (ไม่มีตะปูตรึงใจ) ไม่มีอาสวะ ผู้มีปกติอยู่ด้วยธรรมอันไม่มีข้าศึก ผู้มีใจไม่ข้องข้าพเจ้าเชื่อมั่น ซึ่งปัจเจกธรรมอันสูงสุดในพระปัจเจกพุทธะนั้น ข้าพเจ้าได้ปรารถนาว่า แม้ข้าพเจ้า ก็พึงกระทำให้แจ้งซึ่งธรรมอันพระปัจเจกพุทธะได้แล้ว เมื่อข้าพเจ้า ผู้อันพระปัจเจกพุทธะผู้มีปกติอยู่ด้วยวิหารธรรมอย่างนี้สงเคราะห์แล้ว ข้าพเจ้าอย่าได้มีความอาลัยแม้ในกาลไหน ๆ ด้วยเพราะวิบากกรรมที่กระทำแล้วในพระปัจเจกพุทธะนั้นนั่นแหละ ข้าพเจ้าเข้าถึงอุตตรกุรุทวีปสิ้น 1,000 ครั้ง ข้าพเจ้าเข้าถึงกายอันประเสริฐที่สุดในหมู่บริวารทั้งหลาย ผู้ลูบไล้ประดับด้วยมาลาและอาภรณ์อันวิจิตร เพราะวิบากแห่งกรรมนั้นแหละ ข้าพเจ้ามีจิตหลุดพ้นแล้ว ไม่กระด้าง ไม่มีอาสวะ เป็นผู้มีร่างกายอันทรงไว้ในที่สุด เพราะก้าวล่วงกุศลและอกุศลแล้ว สมาคมของข้าพเจ้าได้มีแล้วแก่พระปัจเจกพุทธะทั้งหลายเหล่านี้ฉะนี้ พระตถาคตชินเจ้า ทรงกระทำให้ประจักษ์แล้ว ได้ตรัสคำว่า "สิ่งใดอันผู้มีศีลปรารถนาแล้ว สิ่งนั้นย่อมสำเร็จ" ดังนี้ ข้าพเจ้า คิดด้วยใจโดยประการใด ๆ ความสำเร็จโดยประการนั้นย่อมมี ภพนี้เป็นภพมีในที่สุดของข้าพเจ้า" ดังนี้สูตรนี้ ชื่อว่า วาสนาภาคิยสูตร
       พระสูตรใดที่กล่าวไว้ว่า"ในกัปที่ 31 พระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่าสิขี เป็นพระชินเจ้า ผู้ไม่มีกิเลสเป็นเหตุให้หวั่นไหว ผู้มีปกติเห็น (ทรงทราบ) หาที่สุดมิได้ พระราชาผู้เป็นพระภาดาของพระผู้มีพระภาคเจ้าแม้นั้น ทรงเลื่อมใสยิ่งในพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสิขี และในพระธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เมื่อพระพุทธเจ้าผู้นำวิเศษของโลกปรินิพพานแล้ว ได้ทรงกระทำพระสถูปใหญ่กว้างขวางประมาณหนึ่งคาวุตโดยรอบ เพื่อพระมเหสีพุทธเจ้า ผู้สูงสุดกว่านระ ผู้เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ มนุษย์ผู้มีปกตินำวัตถุมาบูชาพระสถูปนั้น มีใจร่าเริง ประคองดอกมะลิซ้อนบูชา ดอกมะลิดอกหนึ่งของคนนั้นถูกลมพัดตกไปแล้ว ข้าพเจ้าเก็บดอกมะลินั้นนั่นแหละมนุษย์นั้น ผู้มีความสำเร็จด้วยดอกไม้ มีใจเลื่อมใสยิ่ง ได้กล่าวกะข้าพเจ้าว่าเราให้ดอกไม้นั้นแก่ท่านนั่นแหละ ข้าพเจ้าถือเอาดอกไม้ดอกเดียวนั้นตั้งใจมั่นในการกำหนดพระสถูปนั้น ตามระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าบ่อย ๆ ตั้งแต่ 30 กัป จนถึงภัททกัปนี้ ข้าพเจ้า ไม่รู้จักทุคติ และย่อมไม่ไปสู่วินิบาต นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระสถูป" ดังนี้สูตรนี้ ชื่อว่า วาสนาภาคิยสูตร
       พระสูตรใดที่กล่าวว่า"พระนครชื่่อว่ากปิละ ของพระราชาพระนามว่า พรหมทัต เป็นพระนครมีทางใหญ่ ที่เขาจัดไว้ดีแล้ว มีมนุษย์เกลื่อนก่น เป็นพระนครมั่งคั่งรุ่งเรือง ในพระนครอันประเสริฐนั้น ข้าพเจ้า ขายขนมกุมมาสแห่งแคว้นปัญจาละ ข้าพเจ้านั้นได้เห็นพระปัจเจกสัมพุทธะพระนามว่า อริฏฐะผู้มียศ ผู้ยืนอยู่ในเบื้องบน (เวหาส) เป็นผู้ร่าเริงแล้ว ยังจิตให้เลื่อมใสแล้วนิมนต์พระอริฏฐะ ผู้สูงสุดแห่งนระ ด้วยธุวภัตรที่มีอยู่ในเรือนของข้าพเจ้าก็ในกาลนั้น เป็นเดือนกัตติกา ใกล้วันปัณณรสี ข้าพเจ้าถือเอาคู่แห่งผ้าใหม่ น้อมเข้าไปถวายพระปัจเจกพุทธะอริฏฐะ ในกาลนั้น พระมุนีปัจเจกพุทธะ ผู้สูงสุดแห่งนระ ผู้อนุเคราะห์ ผู้กรุณา ผู้ฆ่าตัณหา ทราบว่าข้าพเจ้ามีจิตเลื่อมใสแล้วรับเอา ข้าพเจ้านั้น ครั้นกระทำกรรมดีที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญแล้ว จึงท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เคลื่อนจากเทวโลกนั้น เกิดเป็นบุตรคนเดียวของเศรษฐี ในตระกูลมั่งคั่งในพระนครพาราณสี เป็นที่รักใคร่กว่าสัตว์มีปาณะทั้งหลาย ในกาลนั้น ข้าพเจ้าถึงความเป็นผู้รู้เดียงสา (ความผิดความชอบ) ผู้อันเทวบุตรตักเตือน จึงลงจากปราสาทเข้าไปเฝ้าพระสัมพุทธะพระนามว่า โคดม พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า โคดมนั้น ได้ทรงแสดงแล้วซึ่งธรรมแก่ข้าพเจ้าเพื่ออนุเคราะห์พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มุนีนั้น ได้ทรงแสดงสัจจธรรม คือ สัจจ 4 เหล่านี้ คือทุกข์ (ทุกขสัจจะ) ความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ (สมุทยสัจจะ) การก้าวล่วงซึ่งทุกข์ (นิโรธสัจจะ) และอริยมรรคประกอบด้วยองค์ 8 อันเข้าไปสงบทุกข์(มัคคสัจจะ) ข้าพเจ้าฟังพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นแล้ว เป็นผู้ยินดีในพระศาสนาอยู่ เป็นผู้ไม่ประมาททั้งกลางวันทั้งกลางคืน แทงตลอดแล้วซึ่งสมถะ อาสวะเหล่าใด ทั้งภายในและภายนอกของข้าพเจ้าในกาลก่อน อาสวะเหล่านั้นทั้งสิ้น อันมรรคตัดขาดแล้ว และจักไม่เกิดขึ้นอีก ทุกข์ย่อมเป็นอันข้าพเจ้ากระทำให้ถึงที่สุดแล้ว อัตภาพนี้มีการท่องเที่ยวไปแห่งความเกิดและความตายได้มีที่สุดแล้ว บัดนี้ ย่อมไม่มีภพใหม่
       ต่อไป" ดังนี้
       สูตรนี้ ชื่อว่า วาสนาภาคิยสูตร
       [99] ในสูตร 16 นั้น สูตรชื่อว่า นิพเพธภาคิยะ เป็นไฉน
       พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งอุทานว่า"บุคคลผู้พ้นวิเศษแล้วในภพทั้งปวง ในเบื้องสูง ในเบื้องต่ำ ไม่ตามเห็นว่า นี้เป็นเรา บุคคลพ้นวิเศษแล้วอย่างนี้ ข้ามได้แล้วซึ่งโอฆะที่ตนยังไม่เคยข้าม เพื่อความไม่เกิดอีก" ดังนี้สูตรนี้ ชื่่อว่า นิพเพธภาคิยสูตร
       พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"ดูกรอานนท์ เจตนาของผู้มีศีล ไม่ต้องทำจิตว่า ขอความไม่เดือดร้อนพึงเกิดแก่เราเถิด ดังนี้ ดูกรอานนท์ ข้อที่ความไม่เดือดร้อนของคนมีศีลพึงเกิดขึ้นนี้ย่อมมีเป็นธรรมดา ฯ ดูกรอานนท์ เจตนาอันบุคคลผู้ไม่เดือดร้อน ไม่ต้องกระทำว่า ขอความปราโมชพึงเกิดแก่เราเถิด ดังนี้ดูกรอานนท์ ข้อที่ปราโมชพึงเกิดแก่บุคคลผู้ไม่เดือดร้อนนี้ ย่อมมีเป็นธรรมดา ฯ ดูกรอานนท์ เจตนาอันบุคคลผู้ปราโมช ไม่ต้องกระทำว่าขอปีติพึงเกิดแก่เราเถิด ดังนี้ ดูกรอานนท์ ข้อที่ปีติพึงเกิดแก่บุคคลผู้ปราโมชนี้ ย่อมมีเป็นธรรมดา ฯ ดูกรอานนท์ เจตนาของผู้มีใจประกอบด้วยปีติ ไม่ต้องกระทำว่า ขอกายของเราพึงสงบเถิด ดังนี้ ดูกรอานนท์ข้อที่กายของบุคคลผู้มีใจประกอบด้วยปีตินี้พึงสงบ ย่อมมีเป็นธรรมดา ฯ
       ดูกรอานนท์ เจตนาของผู้มีกายสงบแล้ว ไม่ต้องกระทำว่า ขอเราพึงเสวยสุขเถิด ดังนี้ ดูกรอานนท์ข้อที่บุคคลผู้ที่มีกายสงบแล้วพึงเสวยสุข ย่อมมีเป็นธรรมดา ฯ ดูกรอานนท์ เจตนาของผู้ที่เสวยสุขแล้ว ไม่ต้องกระทำว่าขอสมาธิพึงเกิด ดังนี้ ดูกรอานนท์ ข้อที่สมาธิพึงเกิดแก่บุคคลผู้มีสุขนี้ย่อมมีเป็นธรรมดา ฯ ดูกรอานนท์ เจตนาของผู้มีใจตั้งมั่นแล้ว ไม่ต้องกระทำว่า ขอเราพึงรู้ตามความเป็นจริงเถิด ดังนี้ ดูกรอานนท์ ข้อที่บุคคลมีจิตตั้งมั่นแล้วพึงรู้ตามความเป็นจริงนี้ ย่อมมีเป็นธรรมดา ฯ ดูกรอานนท์ เจตนาของบุคคลผู้รู้ตามความเป็นจริง ไม่ต้องกระทำว่า ขอนิพพิทาพึงเกิดแก่เราเถิด ดังนี้ ดูกรอานนท์ ข้อที่บุคคลรู้ตามความเป็นจริงพึงเบื่อหน่ายนี้ ย่อมมีเป็นธรรมดา ฯ ดูกรอานนท์ เจตนาอันผู้เบื่อหน่าย ไม่ต้องทำใจว่า ขอวิราคะพึงเกิดแก่เราเถิด ดังนี้ ดูกรอานนท์ ข้อที่ผู้เบื่อหน่ายพึงคลายกำหนัดนี้ ย่อมมีเป็นธรรมดา ฯ ดูกรอานนท์ เจตนาอันบุคคลผู้คลายกำหนัด ไม่ต้องกระทำว่า ขอวิมุตติพึงเกิดแก่เราเถิด ดังนี้ดูกรอานนท์ ข้อที่ผู้คลายกำหนัดพึงหลุดพ้นนี้ ย่อมมีเป็นธรรมดา ฯ
       ดูกรอานนท์ เจตนาอันบุคคลผู้หลุดพ้นแล้ว ไม่ต้องกระทำว่า ขอวิมุตติญาณทัสสนะพึงเกิดแก่เราเถิด ดังนี้ ดูกรอานนท์ ข้อที่วิมุตติญาณทัสสนะพึงเกิดแก่บุคคลผู้หลุดพ้นแล้วนี้ ย่อมมีเป็นธรรมดา" ดังนี้สูตรนี้ ชื่่อว่า นิพเพธภาคิยสูตร
       [100] พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งอุทานว่า"ในกาลใดแล ธรรมทั้งหลายย่อมปรากฏแก่พราหมณ์ ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ ในกาลนั้น ความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นั้น ย่อมสิ้นไปเพราะรู้แจ้งธรรมพร้อมกับเหตุ" ดังนี้สูตรนี้ ชื่่อว่า นิพเพธภาคิยสูตร
       พระองค์ทรงเปล่งอุทานครั้งที่ 2 ว่า"ในกาลใดแล ธรรมทั้งหลาย ย่อมปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ ในกาลนั้น ความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นั้น ย่อมสิ้นไปเพราะได้รู้แจ้งความสิ้นไปแห่งปัจจัยทั้งหลาย" ดังนี้สูตรนี้ ชื่่อว่า นิพเพธภาคิยสูตร
       พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคาถาว่า"ดูกร ติสสะ เธอโกรธทำไมหนอ เธออย่าโกรธ ความไม่โกรธ เป็นความประเสริฐของเธอ เพราะบุคคลย่อมประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อกำจัดความโกรธ มานะ และความลบหลู่คุณท่าน" ดังนี้สูตรนี้ ชื่่อว่า นิพเพธภาคิยสูตร
       พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคาถาว่า"เมื่อไร เราพึงเห็นนันทะ ถืออยู่ป่าเป็นวัตร ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตรยังอัตภาพให้เป็นไป ด้วยโภชนะที่่เจือปนกัน ผู้ไม่อาลัยในกามทั้งหลาย" ดังนี้สูตรนี้ ชื่่อว่า นิพเพธภาคิยสูตร
       พราหมณ์ภารทวาชโคตร ได้กล่าวว่า"บุคคลฆ่าอะไรซิ ย่อมนอนเป็นสุข ฆ่าอะไร ย่อมไม่เศร้าโศกข้าแต่พระโคดม พระองค์ย่อมชอบใจ ในการฆ่าอะไรเป็นธรรมอันเอก"
       ดังนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า"บุคคลฆ่าความโกรธ ย่อมนอนเป็นสุข ฆ่าความโกรธได้ ย่อมไม่เศร้าโศก ดูกรพราหมณ์ พระอริยะทั้งหลาย ย่อมสรรเสริญการฆ่าความโกรธ อันมีรากเป็นพิษ มียอดหวาน เพราะการฆ่าความโกรธได้ จึงไม่เศร้าโศก" ดังนี้สูตรนี้ ชื่่อว่า นิพเพธภาคิยสูตร
       เทวดาทูลถามว่า"ข้าแต่พระโคดม นักปราชญ์ผู้ฆ่า พึงฆ่าอะไรหนอที่ปรากฏ นักปราชญ์ผู้บรรเทา พึงบรรเทาอะไรหนอที่เกิด นักปราชญ์ผู้ละ พึงละอะไรหนอ การตรัสรู้ธรรมอะไรของนักปราชญ์ จึงเป็นสุข" ดังนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"ดูกรเทพบุตร นักปราชญ์ผู้ฆ่า พึงฆ่าความโกรธ นักปราชญ์ผู้บรรเทา พึงบรรเทาราคะ นักปราชญ์ฺผู้ละ พึงละอวิชชา การตรัสรู้สัจจธรรมเป็นสุข" ดังนี้สูตรนี้ ชื่่อว่า นิพเพธภาคิยสูตร
       [100] เทวดายืนอยู่ในสำนักพระศาสดากล่าวว่า"ภิกษุผู้มีสติ พึงเว้นรอบ เพื่อละกามราคะ เหมือนบุรุษผู้ถูกประหารด้วยหอกมุ่งถอนหอก และเหมือนบุรุษที่ถูกไฟไหม้บนศีรษะมุ่งดับไฟ
       ฉะนั้น" ดังนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"ภิกษุผู้มีสติ พึงเว้นรอบ เพื่อละสักกายทิฏฐิ เหมือนบุรุษถูกประหารด้วยหอก และเหมือนบุรุษที่ถูกไฟไหม้บนศีรษะ ฉะนั้น" ดังนี้สูตรนี้ ชื่่อว่า นิพเพธภาคิยสูตร
       เทวดายืนในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า"โภคะทั้งปวงที่รวบรวมไว้ มีความสิ้นไปเป็นที่สุด ธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้น มีความตกไปเป็นที่สุด ชีวิตของสัตว์ทั้งปวงไม่ยั่งยืน เพราะสัตว์ทั้งปวงต้องตายเป็นธรรมดา บุคคลเห็นอยู่ซึ่งภัยคือความตายนี้ พึงทำบุญทั้งหลาย อันนำมาซึ่งสุข" ดังนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"ดูกรเทวบุตร โภคะทั้งปวงที่รวบรวมไว้ มีความสิ้นไปเป็นที่สุดธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้น มีความตกไปเป็นที่สุด ชีวิตของสัตว์ทั้งปวงไม่ยั่งยืน เพราะสัตว์ทั้งปวงต้องตายเป็นธรรมดา บุคคลเห็นอยู่ซึ่งภัย คือ ความตายนี้ พึงละโลกามิสเสีย มุ่งนิพพานอันสงบสังขารทั้งปวง" ดังนี้สูตรนี้ ชื่่อว่า นิพเพธภาคิยสูตร
       พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"ดูกรจันทนเทวบุตร จิตของมุนีเหล่าใด ยินดีในฌาน มุนีเหล่านั้นย่อมอยู่เป็นสุข ย่อมไม่เศร้าโศก บุคคลมีปัญญา มีใจตั้งมั่นดีแล้ว ปรารภความเพียร มีจิตส่งไปสู่นิพพาน ย่อมข้ามโอฆะที่ข้ามได้ยาก พระขีณาสพใด เว้นขาดจากกามสัญญา ก้าวล่วงสังโยชน์ทั้งปวง มีความยินดีและภพสิ้นไปแล้ว พระขีณาสพนั้นย่อมไม่จมลงในห้วงน้ำลึก" ดังนี้สูตรนี้ ชื่่อว่า นิพเพธภาคิยสูตร
       พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบอาฬวกยักษ์ว่า"บุคคลเชื่อธรรมของพระอรหันต์ ไม่ประมาท เป็นผู้ฉลาด เพื่อบรรลุพระนิพพาน พึงฟังอยู่ด้วยดี ย่อมได้ซึ่งปัญญา บุคคลใดมีความเพียรเป็นผู้กระทำเหมาะสม ไม่ทอดธุระ ถึงพร้อมด้วยอุตสาหะ บุคคลนั้นย่อมหาทรัพย์ได้ บุคคลย่อมได้ชื่อเสียงเพราะความสัตย์ บุคคลผู้ให้ย่อมผูกมิตรไว้ได้ บุคคลนั้นแล ละจากโลกนี้ไปสู่ปรโลก ย่อมไม่เศร้าโศก" ดังนี้สูตรนี้ ชื่่อว่า นิพเพธภาคิยสูตร
       ยักษ์ฝ่ายมารชื่อสักกะกล่าวว่า"ดูกรพระโคดม การสั่งสอนคนอื่นมีเทวดาและมนุษย์ เป็นต้น ไม่เหมาะแก่สมณะเช่นท่าน ผู้ละกิเลสทั้งหมด ผู้พ้นจากไตรภพ" ดังนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"ดูกรสักกะ ธรรมเครื่องอยู่ร่วมกัน ย่อมเกิดด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง คนมีปัญญาไม่ควรเพื่ออนุเคราะห์คนอื่นด้วยใจอย่างเดียว ถ้าคนใดมีใจผ่องใสสั่งสอนคนอื่น คนผู้มีใจผ่องใสนั้น ย่อมเป็นผู้ไม่พัวพันด้วยเหตุนั้น นอกจากจะอนุเคราะห์เอ็นดู" ดังนี้สูตรนี้ ชื่่อว่า นิพเพธภาคิยสูตร
       [102] สูจิโลมยักษ์ทูลถามว่า"ดูกรสมณะ ราคะและโทสะมีอะไรเป็นเหตุ ความไม่ยินดี ความยินดี และความสยดสยองเกิดแต่เหตุอะไร ความตรึกในใจเกิดแต่อะไรแล้วดักจิตไว้ได้ เหมือนพวกเด็กดักกาด้วยเชือกฉะนั้น"พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า"ราคะและโทสะ มีอัตภาพนี้เป็นเหตุ ความไม่ยินดี ความยินดี และความสยดสยอง เกิดแต่อัตภาพ ความตรึกในใจเกิดแต่อัตภาพนี้ แล้วดักจิตไว้ได้ เหมือนพวกเด็กดักกาด้วยเชือก ฉะนั้น อกุศลวิตกเป็นอันมากเกิดแต่ความเยื่อใย คือ ตัณหา เกิดในตนแล้วแผ่ซ่านไปในวัตถุกามทั้งหลาย เหมือนย่านไทรเกิดแต่ลำต้นไทรแล้วแผ่ซ่านไปในป่า ฉะนั้น ชนเหล่าใด ย่อมรู้อัตภาพนั้นว่า เกิดแต่สิ่งใด ชนเหล่านั้น ย่อมบรรเทาเหตุเกิดนั้นเสียได้ ดูกรยักษ์ ท่านจงฟัง ชนเหล่านั้นย่อมข้ามห้วงกิเลสนี้ ซึ่งข้ามได้โดยยากและไม่เคยข้ามในอนมตัคคสงสาร เพื่อความไม่เกิดอีก
       ต่อไป" ดังนี้
       สูตรนี้ ชื่่อว่า นิพเพธภาคิยสูตร
       กามทเทวบุตรกราบทูลว่า"ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่า การกระทำสมณธรรม กระทำได้โดยยาก ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า สมณธรรม กระทำได้ยากอย่างยิ่ง"
       ดังนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"ดูกรกามทะ ชนทั้งหลาย ตั้งมั่นแล้วในศีล แห่งพระเสกขะ มีตนตั้งมั่นแล้ว ย่อมกระทำแม้ซึ่งสมณธรรมอันบุคคลกระทำได้โดยยาก ความยินดีของบุคคลผู้เข้าถึงความไม่มีเรือน ย่อมนำสุขมาให้" ดังนี้
       กามทเทวบุตรกราบทูลว่า"ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้อที่หาได้ยากนี้ คือความสันโดษ(ความยินดี)" ดังนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"ดูกรกามทะ ชนเหล่าใด ยินดีแล้วในความสงบแห่งจิต ชนเหล่านั้น มีใจยินดีแล้วในความอบรมจิต ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน ชนเหล่านั้นย่อมได้แม้ซึ่งสิ่งที่ได้โดยยาก"ดังนี้
       กามทเทวบุตรกราบทูลว่า"ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ธรรมชาติที่ตั้งมั่นได้ยากนี้ คือ จิต" ดังนี้
       พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า"ดูกรกามทะ ชนเหล่าใด ยินดีแล้วในความสงบแห่งอินทรีย์ ชนเหล่านั้น ย่อมตั้งมั่นซึ่งจิตที่ตั้งมั่นได้ยาก ดูกรกามทะ พระอริยะทั้งหลายตัดข่ายแห่งมัจจุแล้ว ย่อมไป" ดังนี้
       กามทเทวบุตรกราบทูลว่า"ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทางที่ไปได้ยาก คือทางที่ไม่เสมอ (โดยมุ่งถึงปฏิปทาอันเป็นส่วนเบื้องต้น)" ดังนี้
       พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"ดูกรกามทะ พระอริยะทั้งหลาย ย่อมไปได้ แม้ในทางที่ไม่เสมอ ที่ไปได้ยาก บุคคลผู้มิใช่พระอริยะ ย่อมเป็นผู้บ่ายศีรษะลงเบื้องต่ำ ตกไปในทางอันไม่เสมอ ทางของพระอริยะทั้งหลายสม่ำเสมอ เพราะพระอริยะทั้งหลายเป็นผู้สม่ำเสมอ ในทางอันไม่เสมอ" ดังนี้สูตรนี้ ชื่่อว่า นิพเพธภาคิยสูตร
       [103] เทวบุตรองค์หนึ่งได้กล่าวคาถาในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า"ก็พระเชตวันนี้นั้น อันหมู่แห่งพระฤๅษีพำนักอยู่ พระธรรมราชาก็ประทับอยู่แล้ว เป็นที่ให้เกิดปีติแก่ข้าพระองค์ สัตว์ทั้งหลาย ย่อมบริสุทธิ์ด้วยส่วน 5 นี้ คือ กรรม วิชชา ธรรม ศีล และชีวิตอันอุดม หาได้บริสุทธิ์ด้วยโคตร หรือด้วยทรัพย์ไม่ เพราะเหตุนั้นแหละ บุรุษผู้เป็นบัณฑิตเมื่่อเห็นประโยชน์ของตน พึงเลือกเฟ้นธรรมโดยแยบคายอย่างนี้ จึงจะบริสุทธิ์ในธรรมนั้น พระสารีบุตรรูปเดียวเท่านั้น เป็นผู้ประเสริฐด้วยปัญญา ศีล และธรรมเครื่องสงบระงับ ภิกษุใดเป็นผู้ถึงฝั่่ง ภิกษุนั้นก็มีท่านพระสารีบุตรนี้ เป็นอย่างยิ่ง" ดังนี้สูตรนี้ ชื่่อว่า นิพเพธภาคิยสูตร
       พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอุทเทสและวิภังค์นี้ว่า"บุคคล ไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว (ด้วยตัณหาและทิฏฐิ) ไม่ควรมุ่งหวังถึงสิ่่งที่ยังไม่มาถึง (ด้วยตัณหาและทิฏฐิ) สิ่งใดล่วงไปแล้วสิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว และสิ่งใดที่ยังไม่มาถึงสิ่งนั้นก็เป็นอันยังไม่ถึง ก็บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบัน ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน ในธรรมนั้น ๆ บุคคลนั้นพึงเจริญธรรมนั้นเนือง ๆ ให้ปรุโปร่งเถิด พึงทำความเพียรในวันนี้แหละใครเล่าจะรู้ความตายในวันพรุ่ง เพราะว่าความผัดเพี้ยนกับมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้น ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย พระมุนีผู้สงบ ย่อมเรียกบุคคลผู้มีปกติอยู่อย่างนี้ ผู้มีความเพียรไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืนนั้นแลว่าผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ" ดังนี้สูตรนี้ ชื่่อว่า นิพเพธภาคิยสูตร
       พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"ธรรม 4 เหล่านี้ อันบุคคลพึงกระทำให้แจ้ง ธรรม 4 เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมอันบุคคลพึงกระทำให้แจ้ง ด้วยจักษุและปัญญามีอยู่ธรรมอันบุคคลพึงกระทำให้แจ้งด้วยกายและปัญญา มีอยู่ ธรรมอันบุคคลพึงรู้ด้วยปัญญา และพึงกระทำให้แจ้งด้วยปัญญา มีอยู่ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมอันบุคคลพึงกระทำให้แจ้งด้วยจักษุและปัญญา เป็นไฉน ทิพยจักษุอันหมดจดดีแล้ว อันก้าวล่วงจักษุอันเป็นของมนุษย์นี้แล อันบุคคลพึงกระทำให้แจ้งด้วยจักษุและปัญญา ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่าไหน อันบุคคลพึงกระทำให้แจ้งด้วยสติและปัญญาปุพเพนิวาสานุสติ อันบุคคลพึงกระทำให้แจ้งด้วยสติและปัญญา ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่าไหน อันบุคคลพึงกระทำให้แจ้งด้วยกายและปัญญา อิทธิวิธะและนิโรธะ อันบุคคลพึงกระทำให้แจ้งด้วยกายและปัญญา ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่าไหน อันบุคคลพึงรู้ด้วยปัญญาพึงกระทำให้แจ้งด้วยปัญญา ญาณในอันสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย อันบุคคลพึงรู้ด้วยปัญญา และพึงกระทำให้แจ้งด้วยปัญญา" ดังนี้สูตรนี้ ชื่่อว่า นิพเพธภาคิยสูตร
       [104] ในพระสูตร 16 นั้น สูตรชื่อว่า อเสกขภาคิยะเป็นไฉน
       พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งอุทานว่า"จิตของบุคคลใด เปรียบด้วยภูเขาหิน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว ไม่กำหนัด ในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ไม่โกรธเคือง ในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความโกรธเคือง จิตของผู้ใดอบรมแล้วอย่างนี้ ทุกข์จักถึงผู้นั้น แต่ที่ไหน" ดังนี้สูตรนี้ ชื่่อว่า อเสกขภาคิยสูตร
       สารีปุตตสูตรที่ 10 ท่านพระสารีบุตรเถระ นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรงพิจารณาความสงบระงับของตนอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบ ได้เปล่งอุทานว่า
       "ภิกษุผู้มีจิตสงบระงับ มีตัณหาอันจะนำไปในภพตัดขาดแล้ว ชาติสงสารสิ้นแล้ว พ้นจากเครื่องผูกแห่งมาร" ดังนี้สูตรนี้ ชื่่อว่า อเสกขภาคิยสูตร
       พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งอุทานว่า"พราหมณ์ใด มีบาปธรรมอันลอยแล้ว ไม่ตวาดผู้อื่นว่า หึ หึ ไม่มีกิเลสเพียงดังน้ำฝาด มีตนอันสำรวมแล้ว ถึงที่สุดแห่งเวท (มรรคที่ 4) มีพรหมจรรย์อันอยู่จบแล้ว ไม่มีกิเลสเครื่องฟูขึ้นในโลกไหน ๆ พราหมณ์นั้นพึงกล่าวว่า เป็นพราหมณ์โดยธรรม" ดังนี้สูตรนี้ ชื่่อว่า อเสกขภาคิยสูตร
       พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งอุทานว่า"ชนเหล่าใดลอยบาปธรรมแล้ว มีสติทุกเมื่อ มีสังโยชน์สิ้นแล้วตรัสรู้แล้ว ชนเหล่านั้นแล ชื่อว่า เป็นพราหมณ์ในโลก" ดังนี้สูตรนี้ ชื่่อว่า อเสกขภาคิยสูตร
       พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเปล่งอุทานว่า"ดิน น้ำ ไฟ และลม ย่อมไม่หยั่งลงในนิพพานธาตุใด ดาวทั้งหลายย่อมไม่สว่าง พระอาทิตย์ย่อมไม่ปรากฏ พระจันทร์ย่อมไม่สว่าง ความมืดย่อมไม่มี ก็เมื่อใด พราหมณ์ชื่่อว่า มุนี เพราะรู้ รู้แล้วด้วยตน เมื่อนั้นพราหมณ์ย่อมหลุดพ้นจากรูปและอรูป จากสุขและทุกข์" ดังนี้สูตรนี้ ชื่่อว่า อเสกขภาคิยสูตร
       พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งอุทานว่า"ในกาลใด บุคคลเป็นผู้ถึงฝั่งในธรรมทั้งหลายของตน เป็นพราหมณ์ในกาลนั้น ย่อมไม่กลัวปีศาจ และเสียงว่า ปักกุละอย่างนี้" ดังนี้สูตรนี้ ชื่่อว่า อเสกขภาคิยสูตร
       พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งอุทานว่า"เราเรียกผู้ไม่ยินดีในภรรยาเก่าผู้มาอยู่ ผู้ไม่เศร้าโศกถึงภรรยาเก่าผู้หลีกไปอยู่ ผู้ชนะสงคราม พ้นแล้วจากธรรมเป็นเครื่องข้องนั้น ว่าเป็นพราหมณ์" ดังนี้สูตรนี้ ชื่่อว่า อเสกขภาคิยสูตร
       พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งอุทานว่า"ความสะอาดย่อมไม่มีเพราะน้ำ ชนเป็นอันมาก ย่อมอาบอยู่ในน้ำนี้สัจจะและธรรมะมีอยู่ในผู้ใด ผู้นั้นเป็นผู้สะอาดและเป็นพราหมณ์" ดังนี้สูตรนี้ ชื่่อว่า อเสกขภาคิยสูตร
       พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งอุทานว่า"ในกาลใดแล ธรรมทั้งหลายย่อมปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียร เพ่งอยู่ ในกาลนั้น พราหมณ์นั้น ย่อมกำจัดมารและเสนามารเสียได้ ดุจพระอาทิตย์กำจัดอยู่ซึ่งความมืด ส่องแสงสว่างอยู่ในอากาศ ฉะนั้น" ดังนี้ สูตรนี้ ชื่่อว่า อเสกขภาคิยสูตร
       พระสูตรใดที่กล่าวว่า"ภิกษุใด ทรงผ้าบังสุกุลจีวร ข้ามโอฆะทั้งปวงแล้ว ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล ผู้ยังอิริยาบถ 4 ให้เป็นไป พวกเธอจงดูภิกษุผู้ถือบังสุกุลจีวรเป็นวัตรนั้น ผู้มีธรรมไม่เสื่อม ผู้บรรลุวิชชา 3 ผู้มีอินทรีย์สงบแล้วเที่ยวไปอยู่ เทวดาผู้ประเสริฐทั้งหลายเป็นอันมาก เข้าไปสู่วิมานอันประเสริฐ มีจิตเลื่่อมใส นมัสการภิกษุผู้ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตรนั้น ผู้เป็นบุรุษอาชาไนยผู้เกียดกันมลทินอันเกิดแต่มานะว่าเราเป็นพราหมณ์มีอยู่ในพระศาสนานี้พวกเทพเหล่านั้นได้กล่าวว่า ข้าแต่ท่านบุรุษอาชาไนย ข้าพเจ้าขอนอบน้อมท่าน ข้าแต่บุรุษผู้สูงสุด ข้าพเจ้าขอนอบน้อมท่าน พวกเราย่อมไม่รู้ธรรมอันเป็นที่อาศัยของท่านใด ท่านนั้น อาศัยอะไรเพ่งอยู่" ดังนี้สูตรนี้ ชื่่อว่า อเสกขภาคิยสูตร
       พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์ว่า"ภิกษุเหล่านี้เป็นสหายกัน เป็นผู้มีความรู้คู่เคียงกันมาตลอดกาลนานสัทธรรมของเธอเหล่านั้น ย่อมเทียบเคียงได้ในธรรมที่พระพุทธเจ้าประกาศแล้ว เธออันกัปปินภิกษุแนะนำดีแล้ว ในธรรมที่พระอริยะประกาศแล้วเธอทั้ง 2 ชำนะมารพร้อมทั้งพาหนะได้แล้ว ย่อมทรงไว้ซึ่งอัตภาพมีในที่สุด" ดังนี้ สูตรนี้ ชื่่อว่า อเสกขภาคิยสูตร
       พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์ว่า"บุคคลปรารภความเพียรอันย่อหย่อน ปรารภความเพียรด้วยกำลังน้อย ไม่พึงบรรลุพระนิพพาน อันเป็นเครื่องปลดเปลื้องกิเลสทั้งปวงได้ แต่ภิกษุหนุ่มรูปนี้ เป็นอุดมบุรุษชำนะมารพร้อมทั้งพาหนะได้แล้ว ย่อมทรงไว้ซึ่งอัตภาพอันมีในที่สุด" ดังนี้สูตรนี้ ชื่่อว่า อเสกขภาคิยสูตร
       พระสูตรที่กล่าวไว้ว่า"พระโมฆราช มีผิวพรรณทราม มีจีวรเศร้าหมอง เป็นพระขีณาสพมีสติทุกเมื่อ มีธรรมประกอบไว้ในภพไปปราศแล้ว มีกิจอันกระทำแล้ว ไม่มีอาสวะ พระโมฆราชนั้น มีวิชชา 3 ถึงความเป็นผู้มีฤทธิ์ ฉลาดในการกำหนดจิต ชนะมารและเสนามารแล้ว ย่อมทรงไว้ซึ่งอัตภาพอันมีในที่สุด" ดังนี้ สูตรนี้ ชื่่อว่า อเสกขภาคิยสูตร
       [105] ในพุทธสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หลุดพ้นเพราะเบื่อหน่าย เพราะคลายกำหนัด เพราะดับ เพราะไม่ถือมั่นรูป ฯลฯ เวทนา ฯลฯ สัญญา ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณ เทวดาและมนุษย์ย่อมเรียกว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้ภิกษุผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา ก็หลุดพ้นแล้ว เพราะเบื่อหน่าย เพราะคลายกำหนัด เพราะดับ เพราะไม่ถือมั่นรูป ฯลฯ เวทนา ฯลฯ สัญญา ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณ เราก็เรียกว่า ปัญญาวิมุตติ ดังนี้ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนั้น มีอะไรเป็นข้อแปลกกัน มีอะไรเป็นข้อที่แตกต่างกัน มีอะไรเป็นเหตุทำให้แตกต่างกันระหว่างพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ากับภิกษุผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมทั้งหลาย ของพวกข้าพระองค์ มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นรากฐาน ฯลฯ
       พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทางที่ยังไม่เกิดให้เกิด ยังประชุมชนให้รู้จักมรรค ที่ใคร ๆ ไม่รู้ ให้รู้แล้ว บอกทางที่ยังไม่มีใครบอก เป็นผู้รู้ทาง ประกาศทางให้ปรากฏ เป็นผู้ฉลาดในทางดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สาวกทั้งหลายในบัดนี้ เป็นผู้ดำเนินไปตามทาง เป็นผู้ตามมาในภายหลัง ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันนี้แล เป็นข้อแปลกกัน อันนี้เป็นข้อที่แตกต่างกัน อันนี้เป็นเหตุให้แตกต่างกัน ระหว่างพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กับภิกษุผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา" ดังนี้สูตรนี้ ชื่่อว่า อเสกขภาคิยสูตร
       [106] ในพระสูตร 16 นี้ สูตรชื่อว่า"สังกิเลสภาคิยะและวาสนาภาคิยะเป็นไฉน"ในอุโปสถสูตร พระองค์ทรงเปล่งอุทานว่า"ฝนคือกิเลส ย่อมรั่วรดสิ่งที่ปกปิด ย่อมไม่รั่วรดสิ่งที่เปิด เพราะฉะนั้น พวกเธอพึงเปิดสิ่งที่ปกปิด ฝนคือกิเลสย่อมไม่รั่วรดสิ่งที่เปิดนั้นอย่างนี้" ดังนี้คำว่า "ฝนคือกิเลสย่อมรั่วรดสิ่งที่ปกปิด" นี้ เป็นสังกิเลส ฯ คำว่า"ฝนย่อมไม่รั่วรดสิ่งที่เปิด" นี้ เป็นวาสนา ฯ คำว่า "เพราะฉะนั้น พวกเธอพึงเปิดสิ่งที่ปกปิดไว้ ฝนคือกิเลส ย่อมไม่รั่วรดสิ่งที่เปิดอย่างนี้" นี้เป็นสังกิเลสและวาสนา ฯ คำนี้เป็นสูตร ชื่อว่า สังกิเลสภาคิยะและวาสนาภาคิยะ ฯ
       พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"ดูกรมหาบพิตร บุคคล 4 เหล่านี้ มีอยู่ในโลก บุคคล 4 เหล่านั้นเป็นไฉน บุคคลผู้มืดมา มืดไป บุคคลผู้มืดมา สว่างไป บุคคลผู้สว่างมามืดไป และบุคคลผู้สว่างมา สว่างไป" ดังนี้ ในบุคคลเหล่านั้น บุคคลใดสังกิเลส ฯ บุคคลใดมืดมา สว่างไป และสว่างมา สว่างไป บุคคลทั้ง 2 นี้เป็นส่วนแห่งวาสนา ฯ คำนี้ ชื่่อว่า สูตรอันเป็นส่วนแห่งสังกิเลสและส่วนแห่งวาสนา ฯ
       ในพระสูตร 16 นั้น สูตรชื่อว่า"สังกิเลสภาคิยะและนิพเพธภาคิยะเป็นไฉน"พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"นักปราชญ์ทั้งหลาย ย่อมไม่กล่าว เครื่องผูกอันเกิดแต่เหล็ก เกิดแต่ไม้ และเกิดแต่หญ้าปล้องว่ามั่น แต่สัตว์ผู้กำหนัดแล้ว กำหนัดนักแล้วในแก้วมณี ในแก้วกุณฑล และความห่วงใยในบุตรและภรรยา" ดังนี้ ข้อนี้ เป็นสังกิเลส ฯ
       "นักปราชญ์ทั้งหลาย กล่าวว่า ความกำหนัด และความกำหนัดนักแล้วเป็นต้น อันหน่วงลง (ลงอบาย) อันหย่อน และอันบุคคลเปลื้องได้ยากนี้ว่ามั่น นักปราชญ์ทั้งหลายตัดเครื่องผูก แม้นั้นแล้ว เป็นผู้ไม่มีความห่วงใยละกามสุขแล้ว ย่อมเว้นรอบ" ดังนี้ข้อนี้ เป็นนิพเพธะ สูตรนี้ ชื่อว่า สังกิเลสภาคิยะและนิพเพธะภาคิยะ ฯ
       [107] ในเจตนาสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมจงใจถึงสิ่งใด ย่อมดำริถึงสิ่งใด และย่อมครุ่นคิดถึงสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมเป็นอารมณ์ เพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณเมื่อมีอารมณ์เป็นปัจจัย ความตั้งมั่นแห่งวิญญาณจึงมี เมื่อวิญญาณนั้นตั้งมั่นแล้ว เจริญขึ้นแล้ว ตัณหาอันให้เกิดในภพใหม่ต่อไปจึงมี เมื่อตัณหาอันให้เกิดในภพใหม่ต่อไปมี ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาสจึงมี ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการฉะนี้ ฯ
       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุไม่จงใจ ไม่ดำริ แต่ยังครุ่นคิดถึงสิ่งใดสิ่งนั้นย่อมเป็นอารมณ์เพื่อความตั้งมั่นแห่งวิญญาณ เมื่อมีอารมณ์เป็นปัจจัยความตั้งมั่นแห่งวิญญาณจึงมี เมื่อวิญญาณนั้นตั้งมั่นแล้ว เจริญขึ้นแล้วตัณหาอันให้เกิดขึ้นในภพใหม่ต่อไปจึงมี เมื่อตัณหาอันให้เกิดในภพใหม่ต่อไปมี ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส จึงมีความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการฉะนี้" ดังนี้ข้อนี้ เป็นสังกิเลส ฯ
        "ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด ภิกษุไม่จงใจ ไม่ดำริ ไม่ครุ่นคิดถึงสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมไม่เป็นอารมณ์เพื่อความตั้งมั่นแห่งวิญญาณ เมื่อวิญญาณนั้นไม่ตั้งมั่นแล้ว ไม่เจริญแล้ว ตัณหาอันให้เกิดในภพใหม่ต่อไปจึงไม่มีเมื่อตัณหาอันให้เกิดใหม่ต่อไปไม่มี ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัสและอุปายาส จึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมี ด้วยประการฉะนี้" ดังนี้ข้อนี้เป็นนิพเพธะ ฯ สูตรนี้ ชื่อว่า สังกิเลสภาคิยะและนิพเพธภาคิยะ ฯ
       [108] ในพระสูตร 16 นั้น สูตรชื่อว่า สังกิเลสภาคิยะและอเสกขภาคิยะเป็นไฉน
       ในมุทสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชน ผู้มิได้สดับแล้ว ย่อมกล่าวว่า "สมุทร สมุทร" ดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมุทรนั้นไม่ชื่อว่า เป็นสมุทร ในวินัยของพระอริยเจ้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมุทรนั้น เป็นกองแห่งน้ำใหญ่ เป็นห้วงแห่งน้ำใหญ่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุเป็นสมุทรของบุรุษ กำลังของจักษุนั้นสำเร็จแล้วด้วยรูปายตนะ" ดังนี้เป็นสังกิเลส ฯ
       "บุคคลใด ย่อมอดกลั้นกำลังอันเกิดจากรูปายตนะนั้นได้ บุคคลนี้เราเรียกว่าเป็นพราหมณ์ ข้ามสมุทร คือ จักษุ ซึ่งมีทั้งคลื่น มีทั้งน้ำวนมีทั้งสัตว์ร้าย มีทั้งผีเสื้อน้ำ แล้วขึ้นถึงฝั่่ง ตั้งอยู่บนบก" ดังนี้ นี้เป็นอเสกขะ ฯ
       "ดูกรภิกษุ โสตะเป็นสมุทร ฯลฯ ฆานะเป็นสมุทร ฯลฯ ชิวหาเป็นสมุทร ฯลฯ กายเป็นสมุทร ฯลฯ ใจเป็นสมุทรของบุรุษ กำลังของใจนั้นสำเร็จแล้วด้วยธัมมารมณ์" ดังนี้ นี้เป็นสังกิเลส ฯ
       "บุคคลใด ย่อมอดกลั้นกำลังอันเกิดจากธัมมายตนะนั้นได้ บุคคลนี้เราเรียกว่า เป็นพราหมณ์ ข้ามสมุทร คือ ใจ ซึ่งมีทั้งคลื่น มีทั้งน้ำวน มีทั้งสัตว์ร้าย มีทั้งผีเสื้อน้ำ แล้วขึ้นถึงฝั่งตั้งอยู่บนบก" ดังนี้ นี้เป็นอเสกขะพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว ครั้นตรัสเนื้อความนี้แล้ว จึงตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า"บุคคลใด ข้ามสมุทรนี้ ซึ่งมีทั้งคลื่น มีทั้งน้ำวน มีทั้งสัตว์ร้าย มีทั้งผีเสื้อน้ำ อันน่าหวาดกลัว ซึ่งข้ามได้แสนยากได้แล้ว บุคคลนั้นเราเรียกว่าผู้จบเวท อยู่จบพรหมจรรย์ ถึงที่สุดแห่งโลก ข้ามถึงฝั่งแล้ว" ดังนี้ ฯ
       นี้เป็นอเสกขะ สูตรนี้ชื่อว่า สังกิเลสภาคิยะและอเสกขภาคิยะ ฯ
       ในพาลิสิกสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในโลกนี้มีเบ็ด 6 ชนิด เพื่อนำสัตว์ไปในสิ่งที่มิใช่ประโยชน์ เพื่อทุกข์ (ฆ่า) สัตว์ทั้งหลาย เบ็ด 6 ชนิด เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปอันจะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจน่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด มีอยู่ ถ้าภิกษุ ย่อมเพลิดเพลินย่อมสรรเสริญ หมกมุ่นซึ่งรูปนั้นอยู่ไซร้ ภิกษุนี้ เราเรียกว่า ผู้กลืนกินเบ็ดของมาร ถึงความวิบัติ ถึงความพินาศ อันมารผู้มีบาป พึงกระทำ
       ได้ตามชอบใจ
       ดูกรภิกษุทั้งหลาย เสียง ฯลฯ กลิ่น ฯลฯ รส ฯลฯ โผฏฐัพพะและธัมมารมณ์ อันพึงรู้แจ้งด้วยใจ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารักชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัดมีอยู่ ถ้าภิกษุ ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมสรรเสริญหมกมุ่นซึ่่งธัมมารมณ์นั้นอยู่ไซร้ ภิกษุนี้ เราเรียกว่า ผู้กลืนกินเบ็ดของมารถึงความวิบัติ ถึงความพินาศ อันมารผู้มีบาป จึงกระทำได้ตามชอบใจ" ดังนี้ข้อนี้ เป็นสังกิเลส"ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปอันจะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด มีอยู่ ถ้าภิกษุไม่เพลิดเพลินไม่สรรเสริญ ไม่หมกหมุ่นรูปนั้นไซร้ ภิกษุนี้ เราเรียกว่า ผู้ไม่กลืนกินเบ็ดของมาร ได้ทำลายเบ็ด ได้ย่ำยีเบ็ด ไม่ถึงความพิบัติ ไม่ถึงความพินาศ อันมารผู้มีบาปพึงกระทำตามชอบใจไม่ได้ดูกรภิกษุทั้งหลาย เสียง ฯลฯ กลิ่น ฯลฯ รส ฯลฯ โผฏฐัพพะและธัมมารมณ์ อันพึงรู้แจ้งด้วยใจ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารักชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด มีอยู่ ถ้าภิกษุไม่เพลิดเพลิน ไม่สรรเสริญ ไม่หมกมุ่นธัมมารมณ์นั้นไซร้ ภิกษุนี้ เราเรียกว่า ผู้ไม่กลืนกินเบ็ดของมาร ได้ทำลายเบ็ด ได้ย่ำยีเบ็ด ไม่ถึงความพิบัติ ไม่ถึงความพินาศ อันมารผู้มีบาปพึงกระทำตามชอบใจไม่ได้" ดังนี้ข้อนี้เป็นอเสกขะ พระสูตรนี้ชื่อว่า สังกิเลสภาคิยะและอเสกขภาคิยะ ฯ
       [109] ในพระสูตร 16 นั้น สูตรว่า"สังกิเลสภาคิยะ นิพเพทภาคิยะและอเสกขภาคิยะ เป็นไฉน"
       ในโลกสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งอุทานว่า "โลก (คือหมู่สัตว์) นี้ มีความเร่าร้อนเกิดขึ้นแล้ว ผู้อันทุกขสัมผัสครอบงำแล้ว ร้องไห้อยู่ ย่อมบ่นเพ้อ โดยความเป็นตัวตน เพราะสัตว์ทั้งหลาย ย่อมสำคัญซึ่งการกระทำแห่งทุกข์ของตนโดยประการใด ๆ ทุกข์นั้นอันบุคคลพึงเยียวยาโดยประการอื่น สัตวโลกนี้ ข้องแล้วในภพ อันมีความแปรปรวนเป็นอย่างอื่่นเป็นผู้เดือดร้อนในภพแล้ว ก็ยินดีเพลิดเพลินนั่นแหละ สัตวโลก ย่อมยินดีเพลิดเพลินสิ่งใด สิ่งนั้นเป็นภัย สัตวโลก ย่อมกลัวสิ่งใด สิ่งนั้นเป็นทุกข์"ดังนี้ ข้อนี้ เป็นสังกิเลส ฯ และคำว่า "พรหมจรรย์นี้ เราประพฤติเพื่อการละภพ" ดังนี้ ข้อนี้ เป็นนิพเพธะ ฯ
       "ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง กล่าวการหลุดพ้นจากภพด้วยภพ (หลุดจากกามภพด้วยรูปภพเป็นต้น) เรากล่าว สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมดว่า เป็นผู้ไม่หลุดพ้นจากภพ ก็หรือว่าสมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง กล่าวการสลัดออกจากภพด้วยความไม่มี (วิภวะ) เรากล่าวว่าสมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมดว่า เป็นผู้ไม่สลัดออกไปจากภพเพราะทุกข์นี้อาศัยอุปธิมีขันธ์เป็นต้นจึงเกิดขึ้น" ดังนี้ ข้อนี้เป็น สังกิเลส ฯ
       และคำว่า "เพราะความสิ้นไปแห่งอุปาทานทั้งปวง ความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ย่อมไม่มี" ดังนี้ข้อนี้ ชื่่อว่า นิพเพธะ ฯ
       "เธอจงดูโลก (จิต) นี้ สัตว์ทั้งหลายมากอันอวิชชาครอบงำแล้ว หรือยินดีแล้ว ซึ่งขันธปัญจกะที่เกิดแล้ว เป็นผู้ไม่พ้นจากภพ ก็ภพเหล่าใดเหล่าหนึ่งในที่ทั้งปวง (คือเบื้องบน เบื้องต่ำ และเบื้องขวาง) โดยสภาพทั้งปวง (คือ อบาย 4 และสุคติ เป็นต้น) ภพทั้งหมดนั้น ไม่เที่ยง เป็นทุกข์มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา" ดังนี้ ข้อนี้ เป็นสังกิเลส ฯ
       "เมื่อภิกษุเห็นขันธปัญจกะ กล่าวคือภพ ตามความเป็นจริง ด้วยปัญญาอันชอบอย่างนี้อยู่ ย่อมละภวตัณหาได้ ทั้งไม่ยินดีในวิภวตัณหาเพราะความสิ้นไปแห่งตัณหา โดยประการทั้งปวง นิพพานจึงมี เพราะความดับด้วยอริยมรรคอันสำรอกโดยไม่เหลือ" ดังนี้ ข้อนี้ เป็นนิพเพธะ ฯ
       เพราะความไม่เกิดแห่งภิกษุผู้มีตัณหาอันดับแล้วนั้น ภพใหม่จึงไม่มีภิกษุนั้นเป็นผู้ครอบงำมาร เป็นผู้ชนะสงครามแล้ว ก้าวล่วงภพทั้งปวงเป็นผู้คงที่" ดังนี้ ข้อนี้ เป็นอเสกขะ ฯ สูตรนี้ชื่อว่า สังกิเลสภาคิยะนิพเพธภาคิยะและอเสกขภาคิยะ ฉะนี้ ฯ
       ในอนุโสตสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล 4 จำพวกนี้ มีอยู่ บุคคล 4 จำพวกเป็นไฉน บุคคลผู้ไปตามกระแส 1 บุคคลผู้ไปทวนกระแส 1 บุคคลผู้มีตน (จิต)ตั้งมั่นแล้ว 1 และบุคคลผู้เป็นพราหมณ์ ข้ามฝั่งแล้วยืนอยู่บนบก 1 ฯ ในบุคคล 4 นั้น บุคคลใด ไปตามกระแส (เสพกามและทำบาปกรรม) บุคคลนี้(เป็นอันธปุถุชน) ชื่อว่า เป็นผู้มีส่วนแห่งสังกิเลส ฯ ในบุคคล 4 นั้น บุคคลใด ไปทวนกระแส (กัลยาณปุถุชน) และบุคคลใด มีตนตั้งมั่นแล้ว (พระเสกขะ) บุคคลทั้ง 2 นี้ เป็นผู้มีส่วนแห่งปัญญาเครื่องแทงตลอด ฯ ในบุคคล 4 นั้น บุคคลใด เป็นพราหมณ์ข้ามฝั่งยืนอยู่บนบก บุคคลนี้เป็นพระอเสกขะ ฯ สูตรนี้ ชื่อว่า สังกิเลสภาคิยะ นิพเพธภาคิยะและอเสกขภาคิยะ ฉะนี้แล ฯ"
       [110] ในพระสูตร 16 นั้น สูตรชื่อว่า"สังกิเลสภาคิยะ วาสนาภาคิยะและนิพเพธภาคิยะ เป็นไฉน"
       ในฉฬาภิชาติสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "บุคคลดำมีชาติดำ (สกุลต่ำ) ประพฤติธรรมดำมีอยู่ บุคคลดำมีชาติดำ ประพฤติธรรมขาวมีอยู่ บุคคลดำมีชาติดำ ยังนิพพานอันตนเห็นแล้วโดยสิ้นเชิงว่า ธรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว ให้สำเร็จมีอยู่บุคคลขาวมีชาติขาว (สกุลสูง) ประพฤติธรรมดำมีอยู่ บุคคลขาวมีชาติขาว ประพฤติธรรมขาวมีอยู่ บุคคลขาวมีชาติขาว ย่อมยังพระนิพพานอันตนเห็นแล้วโดยสิ้นเชิงว่า ธรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว ให้สำเร็จมีอยู่" ฯ ในบุคคล 6 เหล่านั้น บุคคล 2 นี้ คือ บุคคลดำมีชาติดำประพฤติธรรมดำ และบุคคลขาวมีชาติขาว ประพฤติธรรมดำ นี้ เป็นส่วนแห่งสังกิเลส ฯ
       ในบุคคล 6 นั้น บุคคล 2 นี้ คือ บุคคลดำมีชาติดำ ประพฤติธรรมขาวและบุคคลขาวมีชาติขาว ประพฤติธรรมขาวนี้เป็นส่วนแห่งวาสนา ฯ
       ในบุคคล 6 นั้น บุคคล 2 นี้ คือ บุคคลดำมีชาติดำ ย่อมยังพระนิพพานอันตนเห็นแล้วว่า ธรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว ให้สำเร็จ และบุคคลขาวมีชาติขาว ย่อมยังพระนิพพานอันตนเห็นแล้วว่าธรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาวให้สำเร็จ นี้ เป็นส่วนแห่งนิพเพธะ ฯ สูตรนี้ ชื่อว่า สังกิเลสภาคิยะ วาสนาภาคิยะและนิพเพธภาคิยะ ฯ
       ในกรรมวรรค ตรัสว่า
       "ดูกรภิกษุทั้งหลาย กรรม 4 เหล่านี้มีอยู่ กรรม 4 เหล่านั้น เป็นไฉน กรรมดำมีวิบากดำ มีอยู่ กรรมขาวมีวิบากขาว มีอยู่ กรรมทั้งดำทั้งขาวมีวิบากทั้งดำทั้งขาวมีอยู่ กรรมไม่ดำไม่ขาวมีวิบากไม่ดำไม่ขาว เป็นกรรมสูงสุด เป็นกรรมประเสริฐสุด ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม"ในกรรม 4 เหล่านั้น กรรมดำมีวิบากดำ และกรรมทั้งดำทั้งขาวมีวิบากทั้งดำและขาว ทั้ง 2 นี้ เป็นสังกิเลส ฯ กรรมขาวมีวิบากขาว นี้เป็นวาสนา ฯ กรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว เป็นกรรมสูงสุด เป็นกรรมประเสริฐสุด ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม นี้เป็นนิพเพธะ ฯ สูตรนี้ชื่อว่า สังกิเลสภาคิยะ วาสนาภาคิยะและนิพเพธภาคิยะ ฉะนี้แล ฯ
       [111] ในพระสูตร 16 นั้น สูตรชื่อว่า"วาสนาภาคิยะและนิพเพธภาคิยะเป็นไฉน" สูตรที่กล่าวว่า"การได้ความเป็นมนุษย์ ย่อมเป็นผู้มีกิจ (หน้าที่) 2 อย่าง คือกิจที่ควร และกิจที่ไม่ควรทีเดียว บุญทั้งหลาย หรือการละสังโยชน์ เป็นกิจดี
       ควรทำ" ดังนี้คำว่า "บุญทั้งหลาย เป็นกิจดี" ดังนี้ ข้อนี้ เป็นวาสนา ฯ คำว่า"หรือการละสังโยชน์" ดังนี้ เป็นนิพเพธะ ฯ พระสูตรว่า "บุคคลทั้งหลายผู้ทำบุญ ครั้นทำบุญทั้งหลายแล้ว ย่อมไปสู่สวรรค์จากสวรรค์นั่นแหละบุคคลผู้ละสังโยชน์ทั้งหลาย ย่อมพ้นจากชราและมรณะ" ดังนี้ คำว่า"บุคคลผู้ทำบุญ ครั้นทำบุญทั้งหลายแล้วย่อมไปสู่สวรรค์จากสวรรค์"ดังนี้ เป็นวาสนา ฯ คำว่า "บุคคลผู้ละสังโยชน์ทั้งหลาย ย่อมพ้นจากชราและมรณะ" ดังนี้ เป็นนิพเพธะ ฯ สูตรนี้ ชื่อว่า วาสนาภาคิยะและนิพเพธภาคิยะ ดังนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความเพียรเหล่านี้ มี 2 อย่าง ความเพียร 2อย่างเป็นไฉน บุคคลใด ย่อมสละจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร (ถวาย) ในบรรพชิตผู้ไม่มีเรือน ผู้ออกบวชจากเรือน และในบรรพชิตทั้งหลายผู้ไม่มีเรือนออกบวชจากเรือนนั้น บุคคลใด สละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นการสิ้นไปแห่งตัณหา เป็นวิราคะ นิโรธะ และนิพพาน" ดังนี้ ฯ
       ใน 2 อย่างนั้น บุคคลใด สละจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ในบรรพชิตผู้ไม่มีเรือน นี้ เป็นวาสนา ฯ ในบรรพชิตผู้ไม่มีเรือนนั้น บุคคลใด สละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นการสิ้นไปแห่งตัณหา เป็นวิราคะนิโรธะ และนิพพาน นี้ เป็นนิพเพธะ ฯ สูตรนี้ ชื่อว่า วาสนาภาคิยะ และนิพเพธภาคิยะ ฉะนี้ แล ฯ
       ในพระสูตร 16 นั้น พระสูตรที่ชื่อว่า ส่วนแห่งตัณหาสังกิเลส พึงแสดงด้วยตัณหา 3 คือ กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา เพราะเป็นฝ่ายแห่งตัณหาอย่างเดียว หรือตัณหานั้นยึดมั่นโดยอาศัยวัตถุใด ๆ พึงแสดงด้วยวัตถุนั้น ๆความพิสดารแห่งตัณหานั้น เป็นตัณหาที่ท่องเที่ยวไปในอารมณ์ต่าง ๆ เพียงดังข่ายมี 36 ประการ ฯ
       ในพระสูตร 16 นั้น พระสูตร ที่ชื่อว่า ส่วนแห่งทิฏฐิสังกิเลส พึงแสดงโดยสัสสตะและอุทเฉทะ เพราะเป็นฝ่ายแห่งทิฏฐินั่นแหละ ก็หรือว่า ทิฏฐินั้นย่อมยึดมั่นด้วยอำนาจความเห็นในวัตถุใด ๆ ว่า "สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า"ดังนี้ ก็พึงแสดงโดยวัตถุนั้น ๆ นั่นแหละ ความพิสดารแห่งทิฏฐินั้น ได้แก่ทิฏฐิคตะ 62 ประการในพระสูตร 16 นั้น พระสูตรที่เป็นส่วนแห่งทุจริตสังกิเลส พึงแสดงด้วยทุจริต 3 คือ กายทุจริต วจีทุจริต และมโนทุจริต ด้วยเจตนาและกรรมคือเจตสิกความพิสดารแห่งทุจริตนั้น ได้แก่ อกุศลกรรมบถ 10 ประการในพระสูตร 16 นั้น สูตรอันเป็นส่วนแห่ง ตัณหาโวทาน (คือความผ่องแผ้วจากตัณหา) บัณฑิตพึงแสดงด้วยสมถะ สูตรอันเป็นส่วนแห่งทิฏฐิโวทาน(ความผ่องแผ้วจากทิฏฐิ) พึงแสดงด้วยวิปัสสนา สูตรอันเป็นส่วนแห่งทุจริตโวทาน (ความผ่องแผ้วจากทุจริต) บัณฑิตพึงแสดงด้วยสุจริต อกุศลมูลมี 3อย่าง ข้อนั้นเป็นเหตุแห่งอะไร เป็นเหตุของความเกิดขึ้นแห่งสังสาร จริงอย่างนั้น เมื่อสังสารเกิดขึ้นแล้ว กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต มีอยู่ พาลลักษณะนี้ ย่อมเกิดขึ้นด้วยวิบากแห่งกรรมอันไม่งามนี้ สูตรนี้ ชื่อว่า สังกิเลสภาคิยะ ฯ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต มีอยู่ มหาปุริสลักษณะนี้ ย่อมเกิดขึ้นด้วยวิบากแห่งกรรมอันงดงาม เพราะเหตุนั้น สูตรนี้จึงชื่่อว่า วาสนาภาคิยะ ฯ
       ในพระสูตร 16 เหล่านั้น สูตรอันเป็นส่วนแห่งสังกิเลส บัณฑิตพึงแสดงด้วยภูมิแห่งกิเลส 4 คือ ภูมิแห่งอนุสัย 1 ภูมิแห่งปริยุฏฐาน 1 ภูมิแห่งสังโยชน์ 1 และภูมิแห่งอุปาทาน 1 ฯ คืออย่างไรปริยุฏฐานกิเลส ย่อมเกิดแก่บุคคลผู้ละอนุสัยยังไม่ได้ บุคคลผู้อันปริยุฏฐานมีกามราคะเป็นต้นกลุ้มรุมแล้ว ย่อมประกอบด้วยสังโยชน์มีกามราคะเป็นต้นบุคคลผู้ประกอบด้วยสังโยชน์ ย่อมยึดมั่นอกุศลกรรม มีกามุปาทานเป็นต้นเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาสจึงมี การเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมี ด้วยประการฉะนี้ กิเลสทั้งปวงเหล่านี้ ย่อมถึงการสงเคราะห์ คือ ประชุมลงด้วยภูมิแห่งกิเลส 4 นี้ สูตรนี้ จึงชื่อว่า ส่วนแห่งกิเลส ฯ
       พระสูตร อันเป็นส่วนแห่งวาสนา พึงแสดงด้วยสุจริต 3 ฯ พระสูตร อันเป็นส่วนแห่งนิพเพธะ พึงแสดงด้วยสัจจะ 4 ฯ พระสูตร อันเป็นส่วนแห่งอเสกขะบัณฑิตพึงแสดงด้วยธรรม 3 อย่าง คือ ด้วยธรรมของพระพุทธเจ้า 1 ด้วยธรรมของพระปัจเจกพุทธะ 1 และด้วยภูมิแห่งพระสาวก 1 ภูมินี้ พึงแสดงด้วยอารมณ์แห่งฌานทั้งหลาย ฉะนี้แล ฯ
       มูลบท 18
       [112] ในหาระ 16 เป็นต้นนั้น มูลบท 18 เป็นไฉน
       มูลบท 18 พึงทราบด้วย สาสนปัฏฐาน 28 นี้ คือ
       1. โลกียธรรม, 2. โลกุตตรธรรม,
       3. โลกิยะและโลกุตตระ, 4. สัตตาธิฏฐาน,
       5. ธัมมาธิฏฐาน 6. สัตตาธิฏฐานและธัมมาธิฏฐาน,
       7. ญาณ (ความรู้) 8. เญยยะ (ควรรู้),
       9. ญาณและเญยยะ 10. ทัสสนะ,
       11. ภาวนา 12. ทัสสนะและภาวนา,
       13. สกวจนะ (พุทธพจน์) 14. ปรวจนะ,
       15. สกวจนะและปรวจนะ 16. วิสัชชนียะ (พึงวิสัชชนา),
       17. อวิสัชชนียะ 18. วิสัชชนียะและอวิสัชชนียะ,
       19. กรรม 20. วิบาก,
       21. กรรมและวิบาก 22. กุศล,
       23. อกุศล 24. กุศลและอกุศล,
       25. อนุญญาตะ 26. ปฏิกขิตตะ,
       27. อนุญญาตะและ 28. ถวะ (สรรเสริญ) ฯ
       ปฏิกขิตตะ
       ในสาสนปัฏฐาน 28 นั้น "โลกียะเป็นไฉน"พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"ก็บาปกรรม อันบุคคลทำแล้วยังไม่เปลี่ยนไป เหมือนน้ำนมในวันนี้ยังไม่แปรไปฉะนั้น บาปกรรมนั้น ย่อมตามเผาคนพาล เหมือนไฟอันเถ้าปกปิดแล้ว ฉะนั้น" ดังนี้ ข้อนี้ เป็นโลกียะ ฯ
       พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
       "ดูกรภิกษุทั้งหลาย การถึงอคตินี้มี 4 ประการ 4 ประการเป็นไฉน บุคคลย่อมถึงฉันทาคติ ฯลฯ ยศของผู้นั้น ย่อมเสื่อม เหมือนพระจันทร์ข้างแรม ฉะนั้น" ดังนี้ เป็นโลกียะ ฯ
       พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"ดูกรภิกษุทั้งหลาย โลกธรรม 8 เหล่านี้ โลกธรรม 8 เป็นไฉน คือลาภ เสื่อมลาภ ยศ เสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุขและทุกข์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย โลกธรรม 8 เหล่านี้แล" ดังนี้ ข้อนี้ เป็นโลกียะ ฯ
       ในสาสนปัฏฐาน 28 นั้น "โลกุตตระเป็นไฉน"พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"อินทรีย์ของภิกษุใด ถึงความสงบระงับ เหมือนม้าอันนายสารถีฝึกดีแล้ว แม้เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ย่อมรักใคร่ภิกษุนั้นผู้มีมานะอันละได้แล้ว ผู้ไม่มีอาสวะ ผู้คงที่" ดังนี้ ข้อนี้ เป็นโลกุตตระ ฯ
       พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"ดูกรภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ 5 เหล่านี้ เป็นโลกุตตระ อินทรีย์ 5 นั้นเป็นไฉน คือสัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ และปัญญินทรีย์ดูกรภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ 5 เหล่านี้แล" ดังนี้ ข้อนี้ เป็นโลกุตตระ ฯ
       ในสาสนปัฏฐาน 28 นั้น "โลกียะและโลกุตตระเป็นไฉน"คาถาทั้ง 2 ว่า
       "การได้ความเป็นมนุษย์ ย่อมเป็นผู้มีิกิจ 2 อย่าง คือ ที่ควรทำและไม่ควรทำ" บทใด ในที่นี้ว่า "บุญทั้งหลาย เป็นกิจดี" และบทใดว่า "บุคคลทำบุญ ครั้นทำบุญแล้ว ย่อมไปสู่สวรรค์จากสวรรค์" ดังนี้ บทนี้ เป็นโลกียะ ฯ
       บทใด ในที่นี้ว่า "หรือ การละสังโยชน์" และบทใดว่า "การละสังโยชน์ ย่อมพ้นจากชรามรณะ" ดังนี้ บทนี้ เป็นโลกุตตระ ฯ ทั้ง 2 นี้เป็นโลกียะและโลกุตตระ ฯ
       พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่่อวิญญาณาหารมีอยู่ การหยั่งลงของนามรูปย่อมมี เมื่อมีการหยั่งลงแห่งนามรูป ภพใหม่ย่อมมี เมื่อมีภพใหม่ ชาติย่อมมี เมื่อมีชาติ ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาสย่อมมี ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต้นไม้ใหญ่ มีรากหยั่งลงและแผ่ไปข้าง ๆ รากทั้งหมดนั้น ย่อมดูดโอชาไปเบื้องบน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต้นไม้ใหญ่นั้นมีอาหารอย่างนั้น มีความยึดมั่นอย่างนั้น ด้วยอาการอย่างนี้ ก็พึงตั้งอยู่ตลอดกาลนาน แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อวิญญาณาหารมีอยู่ การหยั่งลงของนามรูปย่อมมี ฯลฯ การเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลย่อมมีอย่างนี้ ฉันนั้นเหมือนกัน" ดังนี้ ข้อนี้ เป็นโลกียะ ฯ
       "ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อไม่มีวิญญาณาหาร การหยั่งลงของนามรูปย่อมไม่มี เมื่อไม่มีนามรูปหยั่งลง ภพใหม่ย่อมไม่มี เมื่อไม่มีภพใหม่ ชาติย่อมไม่มี เมื่อไม่มีชาติ ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส ย่อมดับ การดับของกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการฉะนี้ ฯ
       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต้นไม้ใหญ่พึงอยู่อย่างนั้น ที่นั้นบุรุษเอาจอบและภาชนะมาตัดต้นไม้นั้นที่โคนต้นแล้ว ขุดลงไป ครั้นขุดลงไปแล้ว คุ้ยเอารากใหญ่เล็กแม้เท่าก้านแฝกขึ้น บุรุษนั้นพึงตัดต้นไม้นั้นเป็นท่อนเล็กท่อนใหญ่แล้วพึงผ่า ครั้นผ่าแล้ว พึงเจียกให้เป็นชิ้น ๆ ครั้นเจียกให้เป็นชิ้น ๆแล้ว พึงผึ่งลมตากแดด ครั้นผึ่งลมตากแดดแล้ว พึงเอาไฟเผา ครั้นเอาไฟเผาแล้ว พึงทำให้เป็นเขม่า ครั้นทำให้เป็นเขม่าแล้ว พึงโปรยที่ลมแรงหรือลอยในแม่น้ำที่มีกระแสอันเชี่ยว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ต้นไม้ใหญ่นั้นมีรากอันถอนขึ้นแล้ว ถูกทำให้เป็นดังตาลยอดด้วน ถึงความไม่มี ไม่เกิดอีกต่อไป แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อวิญญาณาหารไม่มี การหยั่งลงของนามรูป ย่อมไม่มี เมื่อการหยั่งลงของนามรูปไม่มีฯลฯ ย่อมดับ ฉันนั้นเหมือนกัน ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวล ย่อมมีด้วยประการฉะนี้" ดังนี้ นี้ เป็นโลกุตตระ คำที่กล่าวนี้ เป็นโลกียะและโลกุตตระ ฯ
       [113] ในสาสนปัฏฐาน 28 นั้น "สัตตาธิษฐานเป็นไฉน"
       ในราชสูตรตรัสว่า"ใคร ๆ ตรวจดูด้วยจิตทั่วทุกทิศแล้ว หาได้พบผู้เป็นที่รักยิ่งกว่าตนในที่ไหน ๆ ไม่ สัตว์เหล่าอื่นก็รักตนมากเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ผู้รักตนจึงไม่ควรเบียดเบียนผู้อื่น" ดังนี้ ข้อนี้ เป็นสัตตาธิฏฐาน ฯ
       ในอัปปายุกาสูตรตรัสว่า"สัตว์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ผู้เกิดแล้ว หรือแม้จักเกิด สัตว์ทั้งหมดเหล่านั้น จักละร่างกายไป ท่านผู้ฉลาด ทราบความเสื่อมแห่งสัตว์ทั้งปวงนั้นแล้ว พึงเป็นผู้มีความเพียรประพฤติพรหมจรรย์" ดังนี้ ข้อนี้ เป็นสัตตาธิฏฐาน ฯ
       ในสขสูตรตรัสว่า"ดูกรภิกษุทั้งหลาย กัลยาณมิตร ประกอบด้วยองค์ 7 อันบุคคลผู้ฉลาด ไม่พึงเว้นตลอดชีวิต แม้ถูกตำหนิประณามเสือกใสที่คอ กัลยาณมิตรประกอบด้วยองค์ 7 เป็นไฉน คือ บุคคลเป็นที่รักใคร่พอใจ (เพราะประกอบด้วยคุณ คือมีศีลและทิฏฐิอันบริสุทธิ์) 1 บุคคลเป็นครู (เป็นดุจฉัตรหิน) 1 บุคคลผู้ควรสรรเสริญ (ด้วยคุณ) 1 บุคคลผู้ฉลาดพูด (ในการให้โอวาท) 1 เป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำ 1 เป็นผู้กล่าวถ้อยคำอันลึกซึ้ง(มีสัจจะและปฏิจจสมุปบาทเป็นต้น) 1 เป็นผู้ไม่ชักนำในทางไม่ควร 1 ดูกรภิกษุทั้งหลาย องค์ 7 ประการเหล่านี้แล ฯลฯ อันบุคคลไม่พึงเว้นตลอดชีวิต" พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว พระสุคตผู้ศาสดาครั้นตรัสเนื้อความนี้แล้ว ได้ตรัสคาถานี้ว่า"บุคคลผู้เป็นที่รักใคร่พอใจ เป็นครู เป็นผู้ควรสรรเสริญ เป็นผู้ฉลาดพูด เป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำ เป็นผู้กล่าวถ้อยคำอันลึก เป็นผู้ไม่ชักนำไปในทางที่ไม่ควร บุคคลผู้ต้องการมิตร ควรเสพมิตรนั้นเช่นนั้นตลอดชีวิต" ดังนี้ข้อนี้ เป็นสัตตาธิฏฐาน ฯ
       ในสาสนปัฏฐาน 28 นั้น "ธัมมาธิฏฐานเป็นไฉน"ในราชสูตร ทรงเปล่งอุทานว่า"กามสุขในโลกและทิพยสุข ย่อมไม่ถึงซึ่่งเสี้ยวที่ 16 (ที่จำแนกออก 16 ส่วน) แห่งสุขคือความสิ้นตัณหา" ดังนี้ ข้อนี้ เป็นธัมมาธิฏฐาน ฯ
       พระพากุลเถระกล่าวว่า"นิพพานที่พระสัมมาสัมพุทธะทรงแสดงแล้ว ไม่มีความโศก ปราศจากกิเลสธุลี เป็นแดนเกษม เป็นที่ดับทุกข์ เป็นสุขดีหนอ" ดังนี้ ข้อนี้เป็นธัมมาธิฏฐาน ฯ
       ในสาสนปัฏฐาน 28 นั้น"สัตตาธิษฐานและธัมมาธิษฐานเป็นไฉน""พราหมณ์ ฆ่าแล้วซึ่งมารดา (ตัณหา) และบิดา (มานะ) ฆ่าราชาผู้เป็นกษัตริย์ทั้ง 2 (สัสสตะและอุทเฉทะ) ฆ่าแว่นแคว้น (อายตนะ 12)พร้อมทั้งผู้ติดตาม (นันทิราคะ) เป็นผู้ไม่มีทุกข์ย่อมไป" ดังนี้ คำว่า"ฆ่ามารดาและบิดา ฆ่าราชาผู้เป็นกษัตริย์ทั้ง 2 ฆ่าแว่นแคว้น พร้อมทั้งผู้ติดตาม" ดังนี้ ข้อนี้ เป็นธัมมาธิฏฐาน ฯ คำว่า "พราหมณ์เป็นผู้ไม่มีทุกข์ย่อมไป" ดังนี้ ข้อนี้ เป็นสัตตาธิฏฐาน ฯ สูตรนี้ เป็นสัตตาธิฏฐานและธัมมาธิฏฐาน ฯ
       ในอิทธิบาทสังยุตต์ว่า
       "ดูกรภิกษุทั้งหลาย อิทธิบาท 4 เหล่านี้ อิทธิบาท 4 เป็นไฉน อิทธิบาทประกอบด้วยฉันทสมาธิและปธานสังขาร วิริยะ ฯลฯ จิตตะ ฯลฯ อิทธิบาทประกอบด้วยวิมังสาสมาธิและปธานสังขาร นี้เป็นธัมมาธิฏฐาน ฯ
       บุคคลผู้ประกอบด้วยอิทธิบาท 4 นั้น (ปรารถนาไปด้วยกายที่ปรากฏ) จึงตั้งจิตไว้ในฌานที่เป็นบาท ในกรชกายบ้าง ปรารถนาไปเร็วตั้งกรชกายในจิตที่มีฌานเป็นบาทบ้าง ก้าวล่วงสุขวิหารสัญญา และลหุคมนสัญญาในกรชกาย ย่อมเข้าถึงอยู่ ส่วนแห่งพระสูตรนี้ เรียกว่าสัตตาธิฏฐาน ฯ ข้อนี้ เป็นธัมมาธิฏฐาน ฯ
       [114] ในสาสนปัฏฐาน 28 นั้น "ญาณเป็นไฉน"
       คำว่า "ญาณใด ก้าวขึ้นครอบงำโลกทั้งปวงตั้งอยู่ ญาณนั้นเป็นโลกุตตระ พระผู้มีพระภาคเจ้า บัณฑิตเรียกว่าสัพพัญญูด้วยสัพพัญญุตญาณใด ญาณนั้นไม่เสื่อม ย่อมเป็นไปในการรำพึงเพื่อจะรู้ในกาลทั้งปวง" ข้อนี้ ชื่อว่า ญาณ ฯ
       คำว่า "ปัญญา อันให้ถึงพระนิพพานนี้แล ประเสริฐที่สุดในโลกด้วยว่า ปัญญานั้นย่อมรู้ชัด ซึ่งความสิ้นไปแห่งชาติและมรณะโดยชอบ"ดังนี้ ข้อนี้ ชื่อว่า ญาณ ฯ
       ในสาสนปัฏฐาน 28 นั้น "เญยยะเป็นไฉน"พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"ดูกรโธตกะ เราจักแสดงธรรมเครื่องระงับกิเลส (นิพพาน) แก่ท่านในธรรมที่เราเห็นแล้ว ที่บุคคลรู้แจ้งแล้ว เป็นผู้มีสติ พึงข้ามตัณหาอันซ่านไปในอารมณ์ต่าง ๆ ในโลก"โธตกะกราบทูลว่า"ข้าแต่พระองค์ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ ข้าพระองค์ ย่อมยินดีอย่างยิ่งซึ่งธรรมเป็นเครื่องระงับอันสูงสุด ที่บุคคลรู้แจ้งแล้ว เป็นผู้มีสติ พึงข้ามตัณหาอันซ่านไปในอารมณ์ต่าง ๆ ในโลก"พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"ดูกรโธตกะ เธอจงรู้ธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งในส่วนเบื้องต่ำ(ทั้งอดีตและอนาคต) ทั้งในเบื้องขวางสถานกลาง (ปัจจุบัน) จงรู้แจ้งสิ่งนั้นว่า เป็นเครื่องข้องอยู่ในโลกนี้แล้ว อย่าได้ทำตัณหา เพื่อภพน้อยและภพใหญ่" ดังนี้ ข้อนี้ ชื่อว่า เญยยะ (เพราะเป็นไปในอารมณ์ที่พึงรู้) ฯ
       ในโกฏิคามวรรคตรัสว่า"ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะการไม่ตรัสรู้ เพราะการไม่แทงตลอดอริยสัจจ์ 4 เราด้วย พวกเธอด้วย จึงแล่นไป ท่องเที่ยวไปยังสังสารวัฏฏ์นี้ตลอดกาลนานอย่างนี้ ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทุกขอริยสัจจ์นี้นั้น อันเราด้วย อันพวกเธอด้วย แทงตลอดแล้ว ตรัสรู้แล้ว ทุกขสมุทยอริยสัจจ์นี้นั้นอันเราด้วย อันพวกเธอด้วย แทงตลอดแล้ว ตรัสรู้แล้ว ทุกขนิโรธอริยสัจจ์อันเราด้วย อันพวกเธอด้วย แทงตลอดแล้ว ตรัสรู้แล้ว ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจจ์ อันเราด้วย อันพวกเธอด้วย แทงตลอดแล้ว ตรัสรู้แล้วตัณหาในภพขาดสูญแล้ว ตัณหาที่จะนำไปสู่ภพสิ้นแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มี"ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว พระสุคตผู้ศาสดาครั้นตรัสเนื้อความนี้แล้ว จึงตรัสคาถาอีกว่า"เพราะการไม่เห็นอริยสัจจ์ 4 ตามความเป็นจริง เราและพวกเธอจึงท่องเที่ยวไปในชาตินั้น ๆ ตลอดกาลนาน อริยสัจจ์ 4 เหล่านี้ เราและพวกเธอเห็นแล้ว ตัณหาที่นำไปสู่ภพ ถอนขึ้นได้แล้ว มูลแห่งทุกข์ตัดขาดแล้ว บัดนี้ภพใหม่มิได้มี" ดังนี้ ข้อนี้ ชื่อว่า เญยยะ ฯ
       ในสาสนปัฏฐาน 28 นั้น "ญาณและเญยยะเป็นไฉน"คำว่า "รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยงวิญญาณไม่เที่ยง" ดังนี้ ข้อนี้ เป็นเญยยะ (เพราะเป็นไปในรูปธรรมเป็นต้นที่พึงรู้) ฯ
       พระอริยสาวกนั้น เมื่อรู้อยู่ เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเห็นว่า "รูปนี้ไม่เที่ยง"ดังนี้ ย่อมเห็นว่า "เวทนานี้ไม่เที่ยง" ดังนี้ ย่อมเห็นว่า "สัญญานี้ไม่เที่ยง" ดังนี้ย่อมเห็นว่า "สังขารนี้ไม่เที่ยง" ดังนี้ ย่อมเห็นว่า "วิญญาณนี้ไม่เที่ยง" ดังนี้ ข้อนี้เป็นญาณ ฯ
       พระอริยสาวกนั้น เมื่อเห็น โดยประการมีอาทิว่า รูปไม่เที่ยง ย่อมหลุดพ้นจากความกำหนัดในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ เราย่อมกล่าวว่า "พระอริยสาวกนี้ ย่อมหลุดพ้นจากทุกข์" ดังนี้ ข้อนี้ เป็นญาณและเญยยะ ฯ
       ส่วนแห่งพระสูตร ในข้อว่า "สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง" ดังนี้ ชื่อว่า เญยยะ ฯในข้อว่า "เมื่อใด พระอริยสาวก ย่อมเห็นด้วยปัญญา" ดังนี้ ข้อนี้ ชื่อว่า ญาณ ฯ
       ในข้อว่า "ครั้นเมื่อความเป็นอย่างนั้น พระอริยสาวกนั้นย่อมเบื่อหน่ายในทุกข์นั่นเป็นทางหมดจด" ดังนี้ สูตรนี้ ชื่อว่า ญาณและเญยยะ ฯ
       ส่วนแห่งพระสูตร ในข้อว่า "สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์" ดังนี้ ข้อนี้ ชื่อว่าเญยยะ ฯ ในข้อว่า "เมื่่อใด ย่อมเห็นด้วยปัญญา" ดังนี้ ข้อนี้ ชื่อว่า ญาณ ฯ ในข้อว่า "ครั้นเมื่อความเป็นอย่างนั้น ย่อมเบื่อหน่ายในทุกข์ นั่นเป็นทางหมดจด"ดังนี้ สูตรนี้ ชื่อว่า ญาณและเญยยะ ฯ
       ส่วนแห่งพระสูตรว่า "ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา" ดังนี้ ข้อนี้ ชื่อว่าเญยยะ ฯ ในข้อว่า "เมื่อใดเห็นด้วยปัญญา" ดังนี้ ข้อนี้ ชื่่อว่า ญาณ ฯ ในข้อว่า"ครั้นเมื่อความเป็นอย่างนั้น ย่อมเบื่่อหน่ายในทุกข์ นั่นเป็นทางแห่งความหมดจด"ดังนี้ สูตรนี้ ชื่่อว่า ญาณและเญยยะ ฯ
       ในโสณสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะบุตรคหบดีว่า"ดูกรโสณะ ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ย่อมเห็นว่าเราเป็นผู้ประเสริฐกว่าเขา หรือย่อมเห็นว่า เราเป็นผู้เสมอเขา หรือเห็นว่า เราเป็นผู้เลวกว่าเขา ด้วยรูปอันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ที่เป็นดังนี้ มิใช่เหตุอื่น เพราะการไม่เห็นตามความเป็นจริง ย่อมเห็นว่า เราเป็นผู้ประเสริฐกว่าเขา ฯลฯ ด้วยเวทนาอันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ฯลฯ ด้วยสัญญา ฯลฯ
       ด้วยสังขาร ฯลฯ ด้วยวิญญาณ ฯลฯ อันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ที่เป็นดังนี้ มิใช่เหตุอื่น เพราะไม่เห็นตามความเป็นจริง"ดังนี้ ข้อนี้ ชื่อว่า เญยยะ ฯ
       "ดูกรโสณะ ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ย่อมไม่เห็นว่าเราเป็นผู้ประเสริฐกว่าเขา ไม่เห็นว่า เราเป็นผู้เสมอเขา หรือไม่เห็นว่าเราเลวกว่าเขา ด้วยรูปอันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ฯลฯ เวทนา ฯลฯ สัญญา ฯลฯ ด้วยวิญญาณ อันไม่เที่ยงเป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ที่เป็นดังนี้มิใช่เหตุอื่น นอกจากการเห็นตามความเป็นจริง" ดังนี้ ข้อนี้ ชื่อว่า ญาณ ฯ พระสูตรนี้ชื่อว่า
       ญาณและเนยยะ
       [115] ในสาสนปัฏฐาน 28 นั้น "ทัสสนะเป็นไฉน"
       ในรัตนสูตรตรัสว่า"พระอริยะเหล่าใด ทำให้แจ้งซึ่งอริยสัจจะทั้งหลาย อันพระศาสดาทรงแสดงดีแล้ว ด้วยปัญญาอันลึกซึ้ง พระอริยบุคคลเหล่านั้น ยังเป็นผู้ประมาทอย่างแรงกล้า (ในกาลที่เป็นเทวราชและพระเจ้าจักรพรรดิราชเป็นต้น) อยู่ แม้ก็จริง ถึงอย่างนั้น ท่านก็ไม่ยึดถือเอาภพที่ 8" ดังนี้ ชื่อว่าทัสสนะ ฯ
       พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"เสาเขื่อน ที่ฝังลงดิน ไม่พึงหวั่นไหว เพราะลมทั้ง 4 ทิศ ฉันใดบุคคลใด ย่อมเห็นอริยสัจจ์ทั้งหลาย อันไม่หวั่นไหว เราย่อมเรียกบุคคลผู้เปรียบด้วยเสาเขื่อนนั้นว่า สัตบุรุษ" ดังนี้ ข้อนี้ ชื่อว่า ทัสสนะ ฯ
       ในพระสูตรหนึ่งตรัสว่า"ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระอริยสาวก ผู้ประกอบด้วยองค์เป็นเครื่่องบรรลุเป็นพระโสดาบัน 4 ประการ หวังอยู่ พึงพยากรณ์ตนด้วยตนเองได้ว่า เรามีนรกสิ้นแล้ว มีกำเนิดสัตว์เดรัจฉานสิ้นแล้ว มีเปตวิสัยสิ้นแล้วมีอบายทุคติวินิบาตสิ้นแล้ว เราเป็นผู้ถึงอริยมรรคครั้งแรก มีการไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงแล้ว มีการตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า จักแล่นไป ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์แล้ว จักกระทำซึ่งที่สุดแห่งทุกข์ ดังนี้ดูกรภิกษุทั้งหลาย องค์แห่งการบรรลุเป็นพระโสดาบัน 4 เป็นไฉน ศรัทธาของอริยสาวก ในธรรมวินัยนี้ มั่นคงแล้วในพระตถาคตตั้งมั่นแล้ว งอกงามแล้ว มีรากหยั่งลงแล้ว พร้อมด้วยธรรม เพราะไม่หวั่นไหวด้วยสมณะ หรือด้วยพราหมณ์ หรือเทวดา มาร พรหมคนใดคนหนึ่งในโลก ก็อริยสาวกนั้นแล เป็นผู้ถึงความมั่นใจในพระธรรมว่า ธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เป็นธรรมอันผู้ปฏิบัติพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู พึงน้อมเข้าไปในตน อันวิญญูชนทั้งหลายพึงรู้เฉพาะตน พระธรรมนี้ใด เป็นที่ขจัดเสียซึ่งความเมา เป็นเครื่องขจัดความกระหาย ถอนขึ้นซึ่งความอาลัย อันเข้าไปตัดซึ่งวัฏฏะเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นวิราคะ นิโรธะและนิพพาน พระอริยสาวกผู้เป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิต ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่ารัก น่าพอใจพร้อมกับธรรมของท่านนั้นแล ก็พระอริยสาวก ผู้ประกอบด้วยศีลทั้งหลายอันเป็นที่รัก ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไท อันวิญญูชนสรรเสริญแล้ว อันตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดไว้ อันเป็นไปเพื่อสมาธิ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระอริยสาวก ผู้ประกอบแล้วด้วยองค์แห่งการบรรลุโสดาบัน 4 เหล่านี้แล หวังอยู่ พึงพยากรณ์ตนด้วยตนได้ว่า เราเป็นผู้มีนรกสิ้นแล้ว มีกำเนิดสัตว์เดรัจฉานสิ้นแล้ว มีเปตวิสัยสิ้นแล้ว มีอบายทุคติวินิบาตสิ้นแล้ว เป็นผู้ถึงกระแส (อริยมรรค) ครั้งแรก มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงแล้ว เป็นผู้มีการตรัสรู้ในเบื้องหน้า ครั้นแล่นไป ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์แล้ว จักกระทำซึ่งที่สุดแห่งทุกข์"ดังนี้ ข้อนี้ชื่อว่า ทัสสนะ ฯ
       ในสาสนปัฏฐาน 28 นั้น "ภาวนาเป็นไฉน"ในสภิยสูตรตรัสว่า"ผู้ใด อบรมอินทรีย์แล้ว แทงตลอดโลกนี้และโลกอื่น ทั้งภายในและภายนอกในโลกทั้งปวง มีตนอบรมแล้ว รออยู่ซึ่งกาลสิ้นชีวิต ผู้นั้นบัณฑิตกล่าวว่า ผู้ฝึกตนแล้ว" ดังนี้ สูตรนี้ ชื่่อว่า ภาวนา ฯ
       ในธรรมปทสูตรตรัสว่า"ดูกรภิกษุทั้งหลาย บทธรรม 4 ประการเป็นไฉน บทธรรมคืออนภิชฌา (ความไม่เพ่งเล็ง) 1 บทธรรมคือความไม่พยาบาท 1 บทธรรมคือสัมมาสติ 1 บทธรรมคือสัมมาสมาธิ 1 ดูกรภิกษุทั้งหลาย บทธรรม 4ประการเหล่านี้แล" ดังนี้ ข้อนี้ เป็นภาวนา ฯ
       ในสาสนปัฏฐาน 28 นั้น "ทัสสนะและภาวนาเป็นไฉน"ในคาถาธรรมบทว่า "ภิกษุพึงตัดโอรัมภาคิยสังโยชน์ 5 พึงละอุทธัมภาคิยสังโยชน์ 5" ดังนี้ ข้อนี้ เป็นทัสสนะ ฯ คำว่า "พึงเจริญอินทรีย์ 5 ให้ยิ่ง ภิกษุล่วงธรรมเป็นเครื่องข้อง 5 อย่างได้แล้ว เรากล่าวว่า เป็นผู้ข้ามโอฆะแล้ว" ดังนี้ ข้อนี้ เป็นภาวนา ฯ บทธรรมที่กล่าวนี้ เป็นทัสสนะและภาวนา ฯ
       พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
       "ดูกรภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ 3 ประการเหล่านี้ อินทรีย์ 3 เป็นไฉน คือ อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ 1 อัญญินทรีย์ 1 อัญญาตาวินทรีย์ 1 ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมยังฉันทะให้เกิด ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียรย่อมประคองจิตไว้ ย่อมทำความเพียร เพื่อตรัสรู้ทุกขอริยสัจจ์อันยังไม่ได้ตรัสรู้ ย่อมยังฉันทะให้เกิด ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิตไว้ ย่อมทำความเพียร เพื่อการตรัสรู้ ซึ่งทุกขสมุทยอริยสัจจ์อันยังไม่เคยตรัสรู้ ฯลฯ ทุกขนิโรธอริยสัจจ์ ฯลฯ ย่อมยังฉันทะให้เกิด ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิตไว้ ย่อมตั้งความเพียรเพื่อการตรัสรู้ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจจ์ อันยังไม่เคยตรัสรู้ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นอนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์" ดังนี้ ข้อนี้ ชื่อว่าทัสสนะ ฯ
       พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"ดูกรภิกษุทั้งหลาย อัญญินทรีย์เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า "นี้ทุกข์" ดังนี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า "นี้ทุกขสมุทัย" ดังนี้ ฯลฯ "นี้ทุกขนิโรธ" ดังนี้ ฯลฯ ว่า"นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา" ดังนี้ นี้เป็นอัญญินทรีย์ ฯ
       "ดูกรภิกษุทั้งหลาย อัญญาตาวินทรีย์เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุในธรรมวินัยนี้ กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติอันหาอาสวะมิได้ เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ทั้งหลาย เพราะการรู้ยิ่งเองในธรรมอันเห็นแล้วนั่นแหละเข้าถึงอยู่ จึงรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่พึงทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่่น เพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มีดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นอัญญาตาวินทรีย์" ดังนี้ นี้เป็นภาวนา ฯ
       พระสูตรนี้ ชื่อว่า ทัสสนะและภาวนา ฯ
       [116] ในสาสนปัฏฐาน 28 นั้น "สกวจนะเป็นไฉน"
       พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"การไม่ทำบาปทั้งปวง การยังกุศลให้ถึงพร้อม การยังจิตให้ผ่องแผ้วนี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย" ดังนี้ พุทธพจน์นี้ ชื่อว่า สกวจนะ(เพราะเป็นดำรัสของพระพุทธเจ้า) ฯ
       ในพาลบัณฑิตสูตรตรัสว่า"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลักษณะแห่งความเป็นพาล นิมิตแห่งความเป็นพาล ความประพฤติแห่งความเป็นพาล 3 ประการเหล่านี้ มีอยู่แก่คนพาล ชนเหล่าอื่นย่อมรู้จักคนพาลด้วยเหตุเหล่าใดว่า เป็นคนพาล ดังนี้เหตุนั้นมี 3 ประการ เหตุ 3 ประการ เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพาลมักคิดแต่เรื่องที่คิดชั่ว มักพูดแต่เรื่องที่พูดชั่ว มักกระทำแต่กรรมที่ชั่วดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุ 3 ประการนี้แล ฯ""ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลักษณะแห่งความเป็นบัณฑิต นิมิตแห่งความเป็นบัณฑิต ความประพฤติแห่งความเป็นบัณฑิต 3 ประการเหล่านี้ มีอยู่แก่บัณฑิต ชนเหล่าอื่น ย่อมรู้จักบัณฑิตด้วยเหตุเหล่าใดว่า เป็นบัณฑิตดังนี้ เหตุนั้นมี 3 ประการ เหตุ 3 ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลายบัณฑิตมีปกติคิดแต่เรื่องที่คิดดี มีปกติพูดแต่คำพูดที่ดี มีปกติกระทำแต่กรรมดี ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุ 3 ประการเหล่านี้แล " ดังนี้ สูตรนี้ชื่อว่าสกวจนะ ฯ
       ในสาสนปัฏฐาน 28 นั้น "ปรวจนะเป็นไฉน"คำว่า "พื้นที่กว้างเสมอด้วยแผ่นดินย่อมไม่มี พื้นที่ลุ่มเสมอด้วยบาดาลย่อมไม่มี สิ่งที่สูงเสมอด้วยเขาสิเนรุย่อมไม่มี บุรุษผู้เช่นกับพระเจ้าจักรพรรดิ์ย่อมไม่มี" ดังนี้ เป็น ปรวจนะ (เป็นคำของเทวดา)ในสุภาสิตชยสูตรตรัสว่า"ท้าวเวปจิตติจอมอสูร ได้ตรัสว่า แน่ะจอมเทพ เราจงเอาชนะกันด้วยการกล่าวคำสุภาษิตเถิด ท้าวสักกะจอมเทพตรัสว่า แน่ะท้าวเวปจิตติตกลง เราจงเอาชนะกัน ด้วยการกล่าวคำสุภาษิต ดูก่อนเวปจิตติ ท่านจงกล่าวคาถา ดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้นแล ท้าวเวปจิตติจอมอสูรได้กล่าวคาถาว่าพวกคนพาลยิ่งกริ้วโกรธ ถ้าบุคคลไม่ตัดรอนเสีย ฉะนั้นนักปราชญ์ผู้มีปัญญา จึงควรกำจัดคนพาลเสียด้วยอาญาอันรุนแรง ดังนี้ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่่อท้าวเวปจิตติจอมอสูร ได้ตรัสคาถาแล้ว พวกอสูรพากันอนุโมทนา พวกเทวดาต่างก็พากันนิ่ง ลำดับนั้นแล ท้าวเวปจิตติจอมอสูร ได้กล่าวกะท้าวสักกะจอมเทพว่า แน่ะจอมเทพ ท่านจงกล่าวคาถาเถิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อท้าวเวปจิตติตรัสเช่นนี้แล้วท้าวสักกะจอมเทพได้ตรัสคาถานี้ว่าผู้ใด รู้ว่าผู้อื่นโกรธแล้ว เป็นผู้มีสติระงับไว้ได้ เราเห็นว่า การระงับไว้ของผู้นั้น เป็นเครื่องตัดรอนคนพาล ดังนี้ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อท้าวสักกะจอมเทพ ได้ภาษิตคาถาแล้ว พวกเทวดาก็พากันอนุโมทนา พวกอสูรต่างก็นิ่ง ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้นแลท้าวสักกะจอมเทพได้ตรัสกะท้าวเวปจิตติจอมอสูรว่า "แน่ะท้าวเวปจิตติท่านจงตรัสคาถาเถิด" ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อท้าวสักกะตรัสเช่นนี้ ท้าวเวปจิตติจอมอสูรได้ตรัสคาถานี้ว่า"ดูก่อนท้าววาสวะ เราเห็นโทษของความอดกลั้นนี้นั่นแหละ เพราะว่า เมื่อใด คนพาลย่อมสำคัญเห็นผู้อดกลั้นนั้นว่า "บุคคลนี้ย่อมอดกลั้นต่อเรา เพราะกลัว" เมื่่อนั้น คนพาล ผู้ทรามปัญญา ยิ่งข่มขี่ผู้อดกลั้นนั้นยิ่งขึ้น เหมือนโคข่มขี่โคตัวที่แพ้หนีไป ฉะนั้น" ดังนี้ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อท้าวเวปจิตติจอมอสูร ภาษิตคาถาแล้วพวกอสูรพากันอนุโมทนา พวกเทวดาต่างก็นิ่ง ลำดับนั้นแล ท้าวเวปจิตติจอมอสูร ได้กล่าวกะท้าวสักกะจอมเทพว่า "แน่ะ จอมเทพ ท่านจงตรัสคาถาเถิด" ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อท้าวเวปจิตติจอมอสูร ตรัสเช่นนี้แล้วท้าวสักกะจอมเทพ ได้ตรัสคาถาเหล่านี้ว่า"บุคคล ย่อมสำคัญเห็นว่า ผู้นี้อดกลั้นต่อเรา เพราะกลัว หรือหาไม่ก็ตาม ประโยชน์ทั้งหลาย มีประโยชน์ของตนเป็นอย่างยิ่ง ประโยชน์ยิ่งกว่าขันติย่อมไม่มี ผู้ใดแลเป็นคนมีกำลัง ย่อมอดกลั้นต่อคนทุรพลได้ความอดกลั้นของผู้นั้น บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า เป็นขันติอย่างยิ่ง คนทุรพลจำต้องอดทนอยู่เป็นนิจ บัณฑิตเรียกกำลังของผู้โง่เขลาอย่างคนพาลนั้นว่า มิใช่กำลัง ไม่มีคนใดที่จะกล่าวโต้ต่อคนที่มีกำลังอันธรรมคุ้มครองแล้วเพราะความโกรธนั้น บุคคลใด โกรธตอบบุคคลผู้โกรธแล้วบุคคลนั้นลามกกว่าบุคคลผู้โกรธแล้วนั้น บุคคลผู้ไม่โกรธตอบผู้ที่โกรธแล้วย่อมชื่อว่า ชนะสงครามที่ชนะได้ยาก ผู้ใดรู้ว่า ผู้อื่่นโกรธแล้ว เป็นผู้มีสติระงับไว้ได้ ผู้นั้น ชื่่อว่า ประพฤติประโยชน์ทั้งสองฝ่าย คือทั้งฝ่ายตนทั้งฝ่ายคนอื่น ชนเหล่าใดไม่ฉลาดในธรรม ชนเหล่านั้น ย่อมสำคัญเห็นผู้รักษาประโยชน์ทั้งสองฝ่ายนั้นว่าเป็นคนโง่" ดังนี้ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อท้าวสักกะจอมเทพ ได้ภาษิตคาถาเหล่านี้แล้ว พวกเทวดาพากันอนุโมทนา พวกอสูรต่างก็นิ่ง" พระสูตรนี้ ชื่อว่าปรวจนะ ฯ
       [117] ในสาสนปัฏฐาน 28 นั้น "สกวจนะและปรวจนะเป็นไฉน"คำว่า "อุปกรณ์แห่งกาม อันบุคคลเสพอยู่ ที่ถึงแล้วในบัดนี้ และจะพึงถึงต่อไปอันใด สิ่งทั้ง 2 นั้น เกลื่อนกล่นด้วยธุลีมีราคะเป็นต้น เป็นของคนที่ศึกษาในสำนักแห่งคนที่กระสับกระส่าย ก็บุคคลเหล่าใด สำคัญสิกขาที่ไม่มีสาระว่าเป็นสาระ มีความยึดมั่นศีล พรต ชีวิตว่าเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ วาทะนี้ เป็นวาทะลามกที่สุดที่หนึ่่งแห่งบุคคลผู้ยึดมั่นเหล่านั้น และบุคคลเหล่าใด มีปกติกล่าวอย่างนี้ มีปกติเห็นอย่างนี้ว่าโทษในกามทั้งหลายไม่มี วาทะนี้เป็นวาทะลามกที่สุดที่ 2 บุคคลผู้มีวาทะที่สุดทั้ง 2 นี้ ผู้ยังป่าช้าให้เจริญ โดยนัยที่กล่าวแล้วนี้ ย่อมยังป่าช้าทั้งหลายและทิฏฐิให้เจริญ คือว่า บุคคล 2 พวกนี้ พวกหนึ่งย่อมติดอยู่เพราะความไม่รู้ พวกหนึ่งย่อมแล่นเลยไปด้วยทิฏฐิ" ดังนี้ สูตรนี้ ชื่อว่า
       ปรวจนะพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งอุทานว่า"ก็สัมมาทิฏฐิบุคคลเหล่าใดแล ไม่มีที่สุดอันลามกนั้น เพราะรู้ยิ่งที่สุดทั้ง 2 นั้น ไม่สำคัญที่สุดทั้ง 2 นั้น วัฏฏะของชนเหล่านั้น ย่อมไม่มีเพราะการบรรลุด้วยปัญญา" ดังนี้ คำนี้ เป็นสกวจนะ ฯ สูตรทั้ง 2 นี้ ชื่อว่า สกวจนะและปรวจนะ ฯ
       ในอัตตรักขิตสูตร พระเจ้าปเสนทิโกศล ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันนี้หม่อมฉันได้เข้าไปที่ลับ พักผ่อนอยู่ได้เกิดความคิดอย่างนี้ว่า ชนพวกไหนหนอ มีตนเป็นที่รัก พวกไหนหนอไม่มีตนเป็นที่รัก ดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันได้ดำริต่อไปว่า ก็ชนพวกใดพวกหนึ่ง ย่อมประพฤติทุจริตด้วยกาย ด้วยวาจาและด้วยใจชนเหล่านั้นไม่มีตนเป็นที่รัก ถึงชนเหล่านั้นจะพึงกล่าวว่า พวกเรารักตนแม้ก็จริง ถึงอย่างนั้น ก็ไม่มีตนเป็นที่รัก ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะชนที่ไม่รักใคร่กัน พึงกระทำทุจริตเพื่อความพินาศแก่คนที่ไม่รักกัน ชนเหล่านั้นย่อมกระทำทุจริตนั้น เพื่อความพินาศแก่ตนด้วยตนเทียว เพราะฉะนั้นชนเหล่านั้น จึงชื่อว่ามีตนไม่เป็นที่รัก ก็แต่ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ย่อมประพฤติสุจริตด้วยกาย ด้วยวาจาและด้วยใจ ชนเหล่านั้นชื่อว่า มีตนเป็นที่รัก ชนเหล่านั้นจะพึงกล่าวว่า เราไม่มีตนเป็นที่่รัก ดังนี้ แม้ก็จริงถึงอย่างนั้น ชนเหล่านั้น ก็ชื่อว่ามีตนเป็นที่รัก ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะคนที่รักกัน พึงกระทำสุจริต เพื่อความเจริญแก่คนที่รัก ชนเหล่านั้นย่อมกระทำสุจริตเพื่อตนด้วยตนเทียว เพราะฉะนั้น ชนเหล่านั้น จึงชื่อว่ามีตนเป็นที่รัก" ดังนี้"ดูกรมหาบพิตร ข้อนี้ เป็นอย่างนั้น ดูกรมหาบพิตร ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ดูกรมหาบพิตร ก็ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ย่อมประพฤติทุจริตด้วยกายย่อมประพฤติทุจริตด้วยวาจา ย่อมประพฤติทุจริตด้วยใจ เพราะฉะนั้นชนเหล่านั้นชื่อว่า มีตนไม่เป็นที่รัก ชนเหล่านั้น ถึงจะกล่าวว่า เรามีตนเป็นที่รัก ดังนี้ ก็จริง ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่มีตนเป็นที่รัก ข้อนั้นเพราะเหตุไรดูกรมหาบพิตร เพราะชนไม่เป็นที่รักใคร่กัน พึงกระทำทุจริตเพื่อความพินาศแก่คนที่ไม่รักกัน ชนเหล่านั้นย่อมกระทำทุจริตนั้นเพื่อความพินาศแก่ตนด้วยตนเทียว เพราะฉะนั้น ชนเหล่านั้น จึงไม่ชื่อว่า มีตนเป็นที่รักดูกรมหาบพิตร ก็แต่ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ย่อมประพฤติสุจริตด้วยกายด้วยวาจาและด้วยใจ ชนเหล่านั้น ชื่อว่ามีตนเป็นที่่รัก ชนเหล่านั้นจะพึงกล่าวว่า เราไม่มีตนเป็นที่่รัก ดังนี้ก็จริง ถึงอย่างนั้น ชนเหล่านั้นก็มีตนเป็นที่รัก ข้อนั้นเพราะเหตุไร ดูกรมหาบพิตร คนที่รักใคร่กัน พึงกระทำสุจริตเพื่อความเจริญแก่คนที่รัก ชนเหล่านั้น ย่อมกระทำสุจริตนั้น เพื่อตนด้วยตนเทียว เพราะฉะนั้น ชนเหล่านั้น จึงชื่อว่า มีตนเป็นที่รัก" ดังนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว ได้กล่าวคาถาประพันธ์อีกว่า"ถ้าบุคคลพึงรู้ว่าตนเป็นที่รัก ไม่พึงประกอบตนด้วยบาป เพราะว่าความสุขนั้นไม่เป็นผลที่บุคคลผู้ทำชั่ว จะพึงได้โดยง่าย เมื่อบุคคลถูกมรณะครอบงำ ละทิ้งภพมนุษย์ไป ก็อะไรเป็นสมบัติของเขา และเขาย่อมพาเอาอะไรไปได้ อนึ่ง อะไรเล่า จะติดตามเขาไปประดุจเงาติดตามตนไป ฉะนั้นผู้ที่เกิดมาแล้ว จำต้องตายในโลกนี้ ย่อมทำซึ่งกรรมใดไว้ คือ บุญและบาปทั้งสอง บุญและบาปนั้นแล เป็นสมบัติของเขา และเขาจะพาเอาบุญและบาปนั้นไป อนึ่ง บุญและบาปนั้น ย่อมติดตามเขาไป ดุจเงาตามตนไป ฉะนั้นเพราะฉะนั้น บุคคลพึงทำกัลยาณธรรมสั่งสมไว้เป็นสมบัติในปรโลกเพราะบุญทั้งหลาย ย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ในโลกหน้า" ดังนี้สูตรนี้ ชื่อว่า ปรวจนะ ฯ คำที่กล่าวตามลำดับเป็น สกวจนะ ฯ สูตรนี้ ชื่อว่า สกวจนะและปรวจนะ ฯ
       [118] ในสาสนปัฏฐาน 28 นั้น "วิสัชชนียะเป็นไฉน"พระสูตรว่า
       "เมื่อปัญหา อันบุคคลถามแล้วว่า สัจจะนี้อันบุคคลพึงรู้ยิ่งอย่างไรสัจจะนี้พึงกำหนดรู้ สัจจะนี้พึงละ สัจจะนี้พึงเจริญ สัจจะนี้พึงกระทำให้แจ้ง กุศลธรรม อกุศลธรรมที่บุคคลถือเอาอย่างนั้น ผลมีวิบากน่าปรารถนาไม่น่าปรารถนานี้ที่กุศลหรืออกุศลให้เกิดขึ้น ความเจริญหรือความเสื่อมแห่งกุศลและอกุศลเหล่านั้น ที่่บุคคลถือเอาอย่างนั้น" ดังนี้เป็นต้น ปัญหานี้พึงวิสัชชนา (คือพึงพยากรณ์)ด้วยบทว่า "อุฬาโร พุทฺโธ ภควา" นี้ พึงอธิบาย ถึงความโอฬาร(ประเสริฐ) ของพระพุทธเจ้าโดยส่วนเดียว ด้วยบทว่า "สฺวากฺขาโต ธมฺโม"ดังนี้ พึงแสดงธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้วโดยส่วนเดียว ด้วยบทว่า "สุปฏิปนฺโน สํโฆ" ดังนี้ พึงแสดงความปฏิบัติดีของพระสงฆ์โดยส่วนเดียว ฯ
       ด้วยบทว่า "สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา" ดังนี้ พึงแสดงความที่สังขารไม่เที่ยงอย่างเดียว ด้วยบทว่า "สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา" ดังนี้ พึงแสดงความที่สังขารเป็นทุกข์อย่างเดียว ด้วยบทว่า "สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา" ดังนี้ ก็พึงแสดงความที่ธรรมเป็นอนัตตาโดยส่วนเดียวเท่านั้น หรือธรรมชาติอื่นที่มีลักษณะอย่างนี้ ก็พึงชี้แจงโดยส่วนเดียวเท่านั้น (ปัญหานี้ พึงวิสัชนา)นี้ชื่่อว่า วิสัชชนียะ ฯ
       ในสาสนปัฏฐาน 28 นั้น "อวิสัชชนียะเป็นไฉน"พระสูตรมีคำว่า"ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นสารถีฝึกนระ เมื่อพระองค์ปรารถนาอยู่ (หวังอยู่) พวกเทวดาและมนุษย์ไม่พึงรู้เญยยธรรม อันพระทัยประกอบด้วยสัพพัญญุตญาณเป็นต้นคิดแล้ว เมื่อพระองค์เสพอรณสมาธิอันสงบระงับแล้ว สัตว์ทั้งปวงก็ไม่พึงรู้แม้ด้วยปัญญาอันมีกสิณเป็นอารมณ์ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ย่อมปรารถนา (หวัง) สิ่งใด ความปรารถนานั้นเป็นไฉน" ดังนี้ เป็นต้น พระสูตรนี้ ชื่อว่า อวิสัชชนียะ ฯ
       พระสูตรนี้ว่า
       "พระผู้มีพระภาคเจ้า มีประมาณในศีลขันธ์เท่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า มีประมาณเท่านี้ในสมาธิขันธ์ ในปัญญาขันธ์ ในวิมุตติขันธ์ ในวิมุตติญาณทัสสนขันธ์ พระผู้มีพระภาคเจ้า มีประมาณเท่านี้ในกายและวจีสมาจารเป็นเหตุ มีประมาณเท่านี้ในอานุภาพ มีประมาณเท่านี้ในพระเมตตา ในพระกรุณา มีประมาณเท่านี้ในพระฤทธิ์ต่าง ๆ " ดังนี้ พระสูตรนี้ชื่อว่า อวิสัชชนียะ ฯ (อันบุคคลไม่พึงพยากรณ์)พระสูตรนี้ว่า
       "ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะความบังเกิดขึ้นแห่งพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ความบังเกิดขึ้นแห่งรัตนะ 3 คือ พุทธรัตนะ ธัมมรัตนะและสังฆรัตนะ จึงมี รัตนะ 3 มีประมาณเท่าไร (โดยคุณ)" ดังนี้ นี้ชื่อว่าอวิสัชชนียะ ฯ (ไม่พยากรณ์)ปัญหาที่มีบุคคลเป็นประธาน คือ วิสัยของพระพุทธเจ้า อันบุคคลไม่พึงพยากรณ์ บุคคลอื่นรู้ บุคคลอื่นก็ไม่พึงพยากรณ์ เพราะเป็นวิสัยของพระพุทธเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ที่สุดเบื้องต้น ย่อมไม่ปรากฏแก่สัตว์ทั้งหลายผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกางกั้น ผู้มีตัณหาเป็นเครื่องผูกพัน เมื่อสัตว์ทั้งหลายแล่นไปท่องเที่ยวไปสู่นรกคราวหนึ่ง สู่กำเนิดสัตว์เดรัจฉานคราวหนึ่ง สู่เปตวิสัยคราวหนึ่ง สู่กำเนิดอสุรกายคราวหนึ่ง ในเทพคราวหนึ่ง ในมนุษย์คราวหนึ่ง ที่สุดเบื้องต้นนั้น เป็นไฉน" คำนี้อันบุคคลไม่พึงพยากรณ์เทศนาว่า ที่สุดเบื้องต้น ย่อมไม่ปรากฏ ดังนี้ ได้แก่ เพราะความบกพร่องแห่งญาณของพระสาวกทั้งหลาย เทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้ามี 2อย่าง คือ เทศนาที่น้อมไปแก่ตน และน้อมไปแก่บุคคลอื่่น ๆ คำว่า "ย่อมไม่ปรากฏ" ดังนี้ เป็นเทศนาน้อมไปแก่ตน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารภโกกาลิกภิกษุโดยประการใด ได้ตรัสกะภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง โดยประการนั้นว่า
       "ดูกรภิกษุ เปรียบเหมือนเกวียนบรรทุกงาแห่งชาวโกศล ซึ่งบรรทุกงาได้ 20 ขารี บุรุษพึงนำเมล็ดงาออกจากเกวียนนั้น โดยล่วงไปแห่งร้อยปี ๆ ต่อหนึ่่งเมล็ด ฯลฯ ส่วนอัพพุทนรกหนึ่ง ยังไม่ถึงความสิ้นไปหมดไปเลย ดูกรภิกษุ 20 อัพพุทนรก เป็นหนึ่งนิรัพพุทนรก 20 นิรัพพุทนรกเป็นหนึ่งอพพนรก 20 อพพนรกเป็นหนึ่งอฏฏนรก 20 อฏฏนรกเป็นหนึ่งอหหนรก 20 อหหนรกเป็นหนึ่งกุมุทนรก 20 กุมุทนรกเป็นหนึ่งโสคันธิกนรก ดูกรภิกษุ 20 โสคันธิกนรกเป็นหนึ่งอุปปลกนรก 20อุปปลกนรกเป็นหนึ่งปุณฑริกนรก 20 ปุณฑริกนรกเป็นหนึ่งปทุมนรกดูกรภิกษุ โกกาลิกภิกษุเกิดในปทุมนรกเพราะยังจิตให้อาฆาตแล้ว ในพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ" ดังนี้ ก็หรือว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระพุทธพจน์อย่างใดอย่างหนึ่ง เทศนานี้ อันบุคคลไม่พึงประมาณ ไม่พึงนับ ดังนี้ คำทั้งปวงนั้น อันบุคคลไม่พึงวิสัชนา ข้อนี้ ชื่อว่า อวิชชนียะ ฯ
       [119] ในสาสนปัฏฐาน 28 นั้น "วิสัชชนียะและอวิสัชชนียะเป็นไฉน"ในกาลใด อุปกาชีวกนั้น กล่าวกะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า"ดูก่อนพระโคดมผู้มีอายุ พระองค์จักเสด็จไปไหน" พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "เราจะไปยังเมืองพาราณสี เพื่อประกาศธรรมจักร จักบันลือกลองอมตะให้เป็นไป อันใคร ๆ ในโลกให้เป็นไปไม่ได้" ดังนี้ อุปกาอาชีวกทูลว่า "ดูก่อนอาวุโสโคดมผู้เจริญ พระองค์ย่อมทรงทราบชัดคำว่า ชินะหรือ" พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "บุคคลเหล่าใดถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะแล้ว บุคคลเหล่านั้นก็เป็นผู้ชนะเช่นกับเรา ดูกรอุปกะเราชนะธรรมอันลามกแล้ว เพราะฉะนั้น เราจึงชื่อว่า ชินะ" ดังนี้คำถามอันอุปกะนั้นถามว่า"บุคคลเป็นชินะอย่างไร เป็นชินะ เพราะละกิเลสอย่างไร" ดังนี้ชื่อว่า วิสัชชนียะ เพราะเป็นปัญหาที่ควรพยากรณ์ (วิสัชชนา) ฯ คำว่าอะไร เป็นชินะ (คือ รูปเป็นต้นเป็นชินะ หรือธรรมอื่นนอกจากรูปเป็นต้นเป็นชินะ) ดังนี้ ชื่อว่า อวิสัชชนียะ ฯ เพราะเป็นปัญหาที่ไม่พึงพยากรณ์ ฯ
       คำว่า ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ เป็นไฉน คำนี้ ชื่่อว่าวิสัชชนียะ ฯ คำถามว่า ความสิ้นอาสวะมีประมาณเท่าไร นี้ ชื่อว่าอวิสัชชนียะ (เพราะไม่อาจวิสัชชนาได้) ฯ พระสูตรทั้งปวงนี้ ชื่่อว่าวิสัชชนียะและอวิสัชชนียะ ฯ
       คำว่า ตถาคตมีอยู่ ดังนี้ เป็น วิสัชชนียะ ฯ คำว่า รูปมีอยู่ ดังนี้ เป็นวิสัชชนียะ ฯ คำว่า รูปเป็นตถาคต (อัตตา) ด้วยอำนาจสักกายทิฏฐิ เป็นอวิสัชชนียะ ฯ ตถาคตมีรูป ตถาคตในรูป รูปในตถาคต (เหล่านี้) เป็นอวิสัชชนียะ ฯ คำอย่างนี้ว่า เวทนามีอยู่ ฯลฯ สัญญา ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณ มีอยู่ ดังนี้ เป็นวิสัชชนียะ ฯ คำว่า วิญญาณเป็นตถาคต ตถาคตมีวิญญาณ ตถาคตในวิญญาณ วิญญาณในตถาคต (เหล่านี้) เป็นอวิสัชชนียะ ฯ คำว่า ตถาคตเว้นจากรูป ตถาคตเว้นจากเวทนา จากสัญญาจากสังขาร และตถาคตเว้นจากวิญญาณ (เหล่านี้) เป็นอวิสัชชนียะ ฯ
       ตถาคตนี้นั้น มิใช่รูป มิใช่เวทนา มิใช่สัญญา มิใช่สังขาร มิใช่วิญญาณเหล่านี้ เป็น อวิสัชชนียะ ฯ พระสูตรนี้ ชื่อว่า วิสัชชนียะและอวิสัชชนียะ ฯ
       พระสูตรว่า "พระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมทอดพระเนตรเห็นสัตว์ทั้งหลาย ผู้กำลังจุติ กำลังอุปบัติ ด้วยทิพยจักษุอันก้าวล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมทราบชัดสัตว์ทั้งหลายผู้เป็นไปตามกรรม ฯลฯ" ดังนี้ เป็นวิสัชชนียะ ฯ คำว่า "สัตว์ทั้งหลายเป็นไฉน และคำว่า ตถาคตเป็นไฉน"ดังนี้ เป็นอวิสัชชนียะ เพราะไม่ได้เป็นปรมัตถ์ ฯ
       คำว่า ตถาคตมีอยู่ ดังนี้ เป็นวิสัชชนียะ ฯ คำว่า เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ตถาคตมีอยู่ ดังนี้ เป็นอวิสัชชนียะ ฯ สูตรนี้ เป็นวิสัชชนียะและอวิสัชชนียะ ฯ
       [120] ในสาสนปัฏฐาน 28 นั้น "กรรมเป็นไฉน"
       ในปิยสูตรตรัสว่า"เมื่อบุคคลถูกมรณะครอบงำแล้ว ละภพมนุษย์ไปอยู่ ก็อะไรเป็นสมบัติของเขา และเขาย่อมพาเอาอะไรไปได้ อนึ่่ง อะไรเล่าจะติดตามเขาไป ประดุจเงาติดตามตนไป ฉะนั้น สัตว์ผู้เกิดมาแล้วจำต้องตายในโลกนี้ย่อมทำกรรมอันใดไว้ คือเป็นบุญและเป็นบาปทั้ง 2 บุญและบาปนั้นแลเป็นสมบัติของเขา และเขาย่อมพาเอาบุญและบาปนั้นไป อนึ่ง บุญและบาปนั้น ย่อมเป็นของติดตามเขาไป ประดุจเงาติดตามตน ฉะนั้น" สูตรนี้ชื่อว่า กรรม ฯ
       ในพาลบัณฑิตสูตรตรัสว่า"ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง กรรมลามก ที่คนพาลทำไว้ในกาลก่อน คือ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ย่อมปกคลุม ย่อมครอบงำเกาะอยู่ซึ่งคนพาลผู้อยู่บนตั่ง หรือบนเตียง หรือนอนบนพื้นดิน ในสมัยอยู่บนตั่งเป็นต้นนั้น เปรียบเหมือนเงายอดภูเขาใหญ่ ย่อมปกคลุม ย่อมครอบงำเกาะอยู่ซึ่งแผ่นดิน ในสมัยเวลาเย็น ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล กรรมลามกที่่คนพาลผู้ทำไว้ในกาลก่อน คือ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ย่อมปกคลุม ย่อมครอบงำ เกาะอยู่ซึ่งคนพาลผู้อยู่บนตั่งหรือบนเตียง หรือนอนบนพื้นดินในสมัยนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในสมัยนั้น คนพาลจะมีความสำนึกตัวอย่างนี้ว่า "เราไม่ได้ทำความดีหนอไม่ได้ทำกุศล ไม่ได้ทำเครื่องป้องกันความหวาดกลัว ทำแต่ความชั่วความเลวร้าย ละโลกนี้ไปแล้ว จะไปสู่คติของคนที่ไม่ได้ทำความดี ไม่ได้ทำกุศล ไม่ได้ทำเครื่องป้องกันความหวาดกลัว ทำแต่ความชั่ว ความเลวความร้ายเป็นที่ไป คนพาลนั้น ย่อมเศร้าโศก ย่อมลำบากใจ ย่อมคร่ำครวญ ร่ำไห้ ทุบอก ถึงความหลงใหล" ดังนี้"อีกประการหนึ่ง ดูกรภิกษุทั้งหลาย กรรมอันดี ที่บัณฑิตทำไว้ในกาลก่อน คือ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ย่อมปกคลุม ย่อมครอบงำเกาะอยู่ซึ่งบัณฑิต ผู้อยู่บนตั่ง หรือบนเตียง หรือนอนบนพื้นดินในสมัยอยู่บนตั่งเป็นต้นนั้น เปรียบเหมือนเงายอดภูเขาใหญ่ ย่อมปกคลุมย่อมครอบงำเกาะอยู่ ซึ่งแผ่นดินในเวลาเย็น ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลายฉันนั้นเหมือนกันแล กรรมอันงาม ที่บัณฑิตทำไว้ในก่อน คือ กายสุจริตวจีสุจริต มโนสุจริต ย่อมปกคลุม ย่อมครอบงำ เกาะอยู่ ซึ่งบัณฑิตผู้อยู่บนตั่ง หรือบนเตียง หรือนอนบนพื้นดินในสมัยนั้น เปรียบเหมือนเงายอดภูเขาใหญ่ ย่อมปกคลุม ย่อมครอบงำเกาะกุม ในสมัยเวลาเย็นฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล กรรมงามที่บัณฑิตทำไว้ในกาลก่อน คือ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ย่อมปกคลุม ย่อมครอบงำเกาะอยู่ชึ่งบัณฑิตผู้อยู่บนตั่งหรือบนเตียง หรือนอนบนพื้นดินในสมัยนั้นดูกรภิกษุทั้งหลาย ในสมัยนั้น บัณฑิตจะมีความรู้สึกอย่างนี้ว่า "เราไม่ได้ทำความชั่ว ไม่ได้ทำความร้าย ไม่ได้ทำความเลว ทำแต่ความดี ทำแต่กุศล ทำแต่เครื่องป้องกันความหวาดกลัว ละโลกนี้ไปแล้ว จะไปสู่คติของคนที่ไม่ได้ทำความชั่ว ไม่ได้ทำความร้าย ไม่ได้ทำความเลว ทำแต่ความดีทำแต่กุศล ทำแต่เครื่องป้องกันความหวาดกลัวไว้เป็นที่ไป" บัณฑิตนั้นย่อมไม่เศร้าโศก ไม่ลำบากใจ ไม่คร่ำครวญ ไม่ร่ำไห้ ทุบอก ไม่ถึงความหลงพร้อมว่า คติใดจักมีแก่เราผู้ไม่ทำความชั่ว ไม่ทำความร้าย ไม่ทำความเลวทำแต่ความดี ทำแต่กุศล ทำแต่เครื่องป้องกันความหวาดกลัว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความเดือดร้อนย่อมไม่เกิด แก่หญิงหรือชาย แก่คฤหัสถ์หรือบรรพชิต เราเรียกบุคคลนั้นว่า ผู้มีความตายอันเจริญ" ดังนี้ สูตรนี้ ชื่่อว่ากรรม ฯ
       "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทุจริต 3 ประการเหล่านี้ ทุจริต 3 เป็นไฉน กายทุจริต 1 วจีทุจริต 1 มโนทุจริต 1 ทุจริต 3 เหล่านี้แล ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สุจริต 3 ประการเหล่านี้ สุจริต 3 เป็นไฉน กายสุจริต 1 วจีสุจริต 1 และมโนสุจริต 1 ดูกรภิกษุทั้งหลายสุจริต 3 ประการเหล่านี้แล" ดังนี้สูตรนี้ ชื่่อว่า กรรม ฯ
       สาสนปัฏฐาน 28 นั้น "วิบากเป็นไฉน"ขณสูตรว่า
       "ดูกรภิกษุทั้งหลาย เป็นลาภของพวกเธอ อันพวกเธอได้ดีแล้วขณะเพื่อการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ อันพวกเธอได้เฉพาะแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย นรก ชื่อว่า ผัสสายตนิกะ 6 อันเราเห็นแล้ว ในนรกนั้น สัตว์จะเห็นรูปอะไร ๆ ด้วยจักษุ ก็ย่อมเห็นแต่รูปอันไม่น่าปรารถนา ย่อมไม่เห็นรูปอันน่าปรารถนา ย่อมเห็นแต่รูปไม่น่าใคร่ ย่อมไม่เห็นรูปอันน่าใคร่ย่อมเห็นรูปอันไม่น่าพอใจ ย่อมไม่เห็นรูปอันน่าพอใจ ย่อมฟังเสียงด้วยโสตะ ฯลฯ ย่อมดมกลิ่นด้วยจมูก ฯลฯ ย่อมลิ้มรสด้วยลิ้น ฯลฯ ย่อมถูกต้องโผฏฐัพพะอะไร ๆ ด้วยกาย ฯลฯ ย่อมรู้แจ้งธัมมารมณ์อะไร ๆ ด้วยใจก็ย่อมรู้แจ้งแต่ธัมมารมณ์ อันไม่น่าใคร่ ย่อมไม่รู้แจ้งธัมมารมณ์อันน่าใคร่ ย่อมรู้แจ้งแต่ธัมมารมณ์อันไม่น่าพอใจ ย่อมไม่รู้แจ้งธัมมารมณ์อันน่าพอใจ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เป็นลาภของพวกเธอแล้ว พวกเธอได้ดีแล้ว ขณะเพื่อการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ พวกเธอได้เฉพาะแล้ว ฯ
       ดูกรภิกษุทั้งหลาย สวรรค์ชื่อ ผัสสายตนิกะ 6 เราได้เห็นแล้ว ในสวรรค์นั้น บุคคลย่อมเห็นรูปอะไร ๆ ด้วยจักษุ ย่อมเห็นแต่รูปอันน่าปรารถนา ไม่เห็นรูปอันไม่น่าปรารถนา ย่อมเห็นแต่รูปอันน่าใคร่ ไม่เห็นรูปอันไม่น่าใคร่ ย่อมเห็นแต่รูปอันน่าพอใจ ไม่เห็นรูปอันไม่น่าพอใจย่อมฟังเสียง ฯลฯ ย่อมดมกลิ่น ฯลฯ ย่อมลิ้มรส ฯลฯ ย่อมถูกต้องโผฏฐัพพะ ฯลฯ ย่อมรู้แจ้งธัมมารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งด้วยใจ ก็ย่อมรู้แจ้งแต่ธัมมารมณ์อันน่าปรารถนา ย่อมไม่รู้แจ้งธัมมารมณ์อันไม่น่าปรารถนา ย่อมรู้แจ้งแต่ธัมมารมณ์อันน่าใคร่ ไม่รู้แจ้งธัมมารมณ์อันไม่น่าใคร่ ย่อมรู้แจ้งแต่ธัมมารมณ์อันน่าพอใจ ไม่รู้แจ้งธัมมารมณ์อันไม่น่าพอใจ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เป็นลาภของพวกเธอแล้ว พวกเธอได้ดีแล้วขณะแห่งการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์อันพวกเธอได้เฉพาะแล้ว" ดังนี้ ข้อนี้เป็นวิบาก ฯ
       ในเสฏฐิปุตตเปตวัตถุว่า "เมื่อพวกเรา พากันหมกไหม้อยู่ในนรก 6หมื่นปีเต็มบริบูรณ์ โดยประการทั้งปวง เมื่อไรที่สุดจักมี ที่สุดไม่มี ที่สุดจักมีแต่ที่ไหน ที่สุดย่อมไม่ปรากฏ แน่ะท่านผู้นิรทุกข์ เพราะเรากับท่านได้ทำบาปกรรมไว้" ดังนี้ ข้อนี้เป็น วิบาก ฯ
       [121] ในสาสนปัฏฐาน 28 นั้น "กรรมและวิบากเป็นไฉน"
       พระสูตรว่า "ก็นระใด ผู้ประมาท ไม่ประพฤติธรรม ย่อมไปสู่ทุคติใด ๆ อธรรมนั้น อันตนประพฤติแล้ว ย่อมเบียดเบียนเขาผู้ไปทุคตินั้น ๆเหมือนงูเห่าอันตนจับแล้ว ฉะนั้น ธรรมและอธรรมทั้ง 2 มีผลเสมอกันหามิได้ อธรรมย่อมนำไปนรก ธรรมย่อมยังสัตว์ให้ถึงสุคติ" ดังนี้ สูตรนี้เป็นกรรมและวิบาก ฯ
       ในปุญญสูตรว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่าได้กลัวต่อบุญเลยคำว่าบุญนี้ เป็นชื่อแห่งความสุข อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่ารัก น่าพอใจดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เรารู้ด้วยญาณอันวิเศษยิ่ง ซึ่งวิบากอันน่าปรารถนาน่าใคร่ น่ารัก น่าพอใจ ที่่ตนเสวยแล้วสิ้นกาลนาน แห่งบุญทั้งหลาย ที่ตนได้ทำไว้สิ้นกาลนาน เราเจริญเมตตาจิตตลอด 7 ปี ไม่กลับมาสู่โลกนี้ 7 สังวัฏฏวิวัฏฏกัป ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า เมื่อกัปพินาศอยู่ เราเป็นผู้เข้าถึงพรหมโลกชั้นอาภัสสระ เมื่อกัปเจริญอยู่ เราเข้าถึงวิมานแห่งพรหมที่ว่าง ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า เราเป็นพรหม เป็นมหาพรหมเป็นผู้ยิ่งใหญ่ใครครอบครองไม่ได้ เป็นผู้สามารถเห็นอดีต อนาคต และปัจจุบันโดยแท้ เป็นผู้ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจ อยู่ในวิมานพรหมนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราได้เป็นท้าวสักกะ ผู้เป็นจอมเทพ 36 ครั้ง ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ผู้ประกอบด้วยธรรม เป็นพระธรรมราชามีสมุทรสาครสี่เป็นขอบเขต เป็นผู้ชนะวิเศษแล้ว ถึงความเป็นผู้มั่นคงในชนบทประกอบด้วยรัตนะ 7 ประการหลายร้อยครั้ง จะกล่าวใยถึงความเป็นพระเจ้าประเทศราชเล่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นดำริอย่างนี้ว่า บัดนี้เราเป็นผู้มีฤทธิ์มากอย่างนี้ มีอานุภาพมากอย่างนี้ เพราะผลวิบากแห่งกรรม 3 ประการของเรา คือ ทาน 1 ทมะ 1 สัญญมะ 1" ในพระสูตรนั้น คำว่า ทาน ทมะ และสัญญมะ เป็นกรรม คำว่า วิบากใดเกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย นี้เป็นวิบาก ฯ
       อนึ่ง ในจูฬกัมมวิภังคสูตรพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรื่องกรรมและวิบากโดยพิสดาร (มัชฌิมนิกายอุปริปัณณาสก์ ข้อ 579) ในที่นี้พึงทราบโดยย่อว่าพระสูตรใด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแก่สุภมานพ บุตรโตเทยยพราหมณ์ ในพระสูตรนั้น ธรรมเหล่าใด มีปาณาติบาตเป็นต้น (คือฆ่าสัตว์และงดเว้น) ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อความมีอายุสั้นและอายุยืนธรรมเหล่าใด มีการเบียดเบียนเป็นต้น ย่อมเป็นไปพร้อม เพื่อความอาพาธมากและอาพาธน้อย ธรรมเหล่าใด มีการริษยาไม่อยากให้เขาได้ดีเป็นต้น ย่อมเป็นไปพร้อม เพื่อความมีศักดิ์น้อยและมีศักดิ์ใหญ่ ธรรมเหล่าใด มีความโกรธเป็นต้น ย่อมเป็นไปพร้อม เพื่อความเป็นผู้มีผิวพรรณทรามและผิวพรรณดี ธรรมเหล่าใด มีความไม่เคารพเป็นต้น ย่อมเป็นไปพร้อม เพื่่อความเป็นผู้เกิดในตระกูลต่ำและสูง ธรรมเหล่าใด มีความตระหนี่เป็นต้น ย่อมเป็นไปพร้อม เพื่อความเป็นผู้มีโภคะน้อยและมีโภคะมาก ธรรมเหล่าใด มีความไม่พิจารณาเป็นต้น ย่อมเป็นไปพร้อม เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาทรามและมีปัญญามาก พระสูตรนี้ชื่อว่ากรรม ในสุภสูตรนั้น คำว่า ธรรมเหล่าใดมีปาณาติบาตเป็นต้น ฯลฯ ย่อมเป็นไปพร้อม เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาทรามและปัญญามาก นี้เป็นวิบาก ฯ พระสูตรนี้ เป็นกรรมและวิบาก ฯ
       [122] ในสาสนปัฏฐาน 28 นั้น "กุศลเป็นไฉน"
       ในคาถาธรรมบท มัคควรรค ตรัสว่า"บุคคล พึงตามรักษาวาจา พึงสังวรดีแล้วด้วยใจ และไม่พึงกระทำอกุศลด้วยกาย พึงชำระกรรมบถ 3 เหล่านี้ ให้หมดจด พึงยินดีมรรคที่พระฤÂษีประกาศแล้ว" ดังนี้ ข้อนี้ เป็นกุศล ฯ
       ในคาถาธรรมบท พราหมณวรรคตรัสว่า"เรากล่าว บุคคลผู้ไม่มีกรรมชั่วทางกาย วาจา ใจ และผู้สำรวมแล้วจากฐานะทั้ง 3 นั้นว่า เป็นพราหมณ์" ดังนี้ ข้อนี้ เป็นกุศล ฯ
       ในมูลสูตรตรัสว่า"ดูกรภิกษุทั้งหลาย กุศลมูล 3 อย่างนี้ กุศลมูล 3 เป็นไฉน คืออโลภกุศลมูล 1 อโทสกุศลมูล 1 อโมหกุศลมูล 1 ดูกรภิกษุทั้งหลายกุศลมูล 3 อย่างนี้แล นี้เป็นกุศล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนวิชชาเป็นหัวหน้าในการยังกุศลธรรมให้ถึงพร้อม เกิดร่วมกับหิริและโอตตัปปะ" ดังนี้ ข้อนี้เป็นกุศล ฯ
       ในสาสนปัฏฐาน 28 นั้น "อกุศลเป็นไฉน"ในคาถาธรรมบท อัตตวรรค ตรัสว่า"ความเป็นผู้ทุศีลล่วงส่วน ย่อมทำอัตภาพของบุคคลใดให้โอนไป(ในอบาย) เหมือนเถาย่านทราย รวบรัดต้นสาละให้โอนไปที่พื้นดิน ฉันใดบุคคลผู้ทุศีลนั้น ย่อมปรารถนาความพินาศแก่ตนเช่นนั้น ฉันนั้น" ดังนี้ข้อนี้ เป็นอกุศล ฯ คำว่า "ความชั่ว อันตนทำไว้เอง เกิดแต่ตน มีตนเป็นแดนเกิด ย่อมย่ำยีคนมีปัญญาทราม ดุจเพชรย่ำยี (ทำลาย) แก้วมณีที่่เกิดแต่หิน ฉะนั้น" ดังนี้ ข้อนี้ เป็นอกุศล ฯ
       พระสูตรว่า
       "ดูกรเทวดา บุคคลผู้โง่เขลา ทำอกุศลกรรมบถ 10 เว้นจากกุศลทั้งหลาย เป็นผู้ต่ำทราม (อันบุคคลพึงติเตียน) ย่อมไหม้ในนรกทั้งหลาย"ดังนี้ ข้อนี้ เป็นอกุศล ฯ
       ในมูลสูตรตรัสว่า"ดูกรภิกษุทั้งหลาย อกุศลมูล 3 อย่างนี้ อกุศลมูล 3 เป็นไฉน คือโลภอกุศลมูล 1 โทสอกุศลมูล 1 โมหอกุศลมูล 1 ดูกรภิกษุทั้งหลายอกุศลมูล 3 อย่าง เหล่านี้แล" ดังนี้ ข้อนี้ เป็นอกุศล ฯ
       ในสาสนปัฏฐาน 28 นั้น "กุศลและอกุศลเป็นไฉน"ในสมุททกสูตรตรัสว่า"บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น คนทำดี ย่อมได้ดี คนทำชั่ว ย่อมได้ชั่ว" ดังนี้ ในพระสูตรนั้น คำใดที่กล่าวว่า "คนทำดี ย่อมได้ดี"ดังนี้ คำนี้ เป็นกุศล ฯ คำใดที่กล่าวว่า "คนทำชั่ว ย่อมได้ชั่ว" ดังนี้ คำนี้เป็นอกุศล ฯ พระสูตรนี้ เป็นกุศลและอกุศล ฯ
       พระสูตรว่า
       "สัตบุรุษย่อมไปสู่สุคติด้วยกรรมอันงาม บุรุษชั่วย่อมไปสู่อบายภูมิด้วยกรรมอันไม่งาม อนึ่ง เพราะความสิ้นไปแห่งกรรม สัตบุรุษเหล่านั้นย่อมดับไป เพราะจิตหลุดพ้นแล้ว ดุจประทีปโคมไฟย่อมดับไปเพราะสิ้นเชื้อ ฉะนั้น" ในพระสูตรนั้น คำใด ที่กล่าวว่า "ย่อมไปสู่สุคติด้วยกรรมอันงาม" ดังนี้ ข้อนี้ เป็นกุศล ฯ คำใด ที่กล่าวว่า "ย่อมไปสู่อบายด้วยกรรมอันไม่งาม" ดังนี้ คำนี้ เป็นอกุศล ฯ พระสูตรนี้ เป็นกุศลและอกุศลฉะนี้แล ฯ
       [123] ในสาสนปัฏฐานนั้น 28 นั้น "อนุญาตเป็นไฉน"
       ในคาถาธรรมบท บุปผวรรคตรัสว่า"ภมรไม่ยังดอกไม้อันมีสีและกลิ่นให้ชอกช้ำ ถือเอาแต่รสแล้วย่อมบินไปแม้ฉันใด มุนีพึงเที่ยวไปในบ้าน ฉันนั้น" ดังนี้ นี้ชื่อว่า อนุญาต(อนุญญาตะ) ฯ
       พระสูตรว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย กิจที่ควรทำของภิกษุทั้งหลาย 3 อย่างเหล่านี้ 3อย่างเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้สำรวมในปาติโมกขสังวร 1 เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร 1 เป็นผู้มีปกติเห็นภัยในโทษทั้งหลายแม้มีประมาณน้อย 1 คือ ย่อมสมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วยกายกรรมและวจีกรรม เป็นผู้มีอาชีวะอันบริสุทธิ์ด้วยกุศล ก็แล ภิกษุนั้นเป็นผู้มีความเพียรอันปรารภแล้ว เป็นผู้มีกำลังบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระ เพื่อละอกุศลธรรมทั้งหลาย เพื่อเจริญกุศลธรรมทั้งหลาย เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ก็แล ภิกษุมีปัญญาประกอบด้วยปัญญาอันให้ถึงความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งขันธ์ทั้งหลาย เพื่อการแทงตลอดอันประเสริฐ เพื่อถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบดูกรภิกษุทั้งหลาย กิจที่ควรทำของภิกษุทั้งหลาย 3 อย่างนี้แล" ดังนี้พระสูตรนี้ ชื่่อว่า อนุญาต (อนุญญาตะ) ฯ
       ในอภิณหปัจจเวกขณสูตรตรัสว่า"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม 10 เหล่านี้ อันบรรพชิตพึงพิจารณาเนือง ๆ ธรรม 10 เป็นไฉน คือ บรรพชิตพึงพิจารณาเนือง ๆ ว่า เรามีเพศต่างจากคฤหัสถ์ 1 บรรพชิตพึงพิจารณาเนือง ๆ ว่า การเลี้ยงชีพของเราเนื่องด้วยผู้อื่น 1 ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม 10 นี้แล อันบรรพชิตพึงพิจารณาเนือง ๆ" ดังนี้ พระสูตรนี้ ชื่อว่า อนุญาต ฯ
       พระสูตรว่า
       "ดูกรภิกษุทั้งหลาย กิจที่ควรทำ 3 อย่างเหล่านี้ 3 อย่างเป็นไฉน คือ กายสุจริต 1 วจีสุจริต 1 มโนสุจริต 1 ดูกรภิกษุทั้งหลาย กิจที่ควรทำ 3 อย่างเหล่านี้แล" ดังนี้ ชื่อว่า อนุญาต ฯ
       ในสาสนปัฏฐาน 28 นั้น "ปฏิกขิตตะเป็นไฉน"ในนัตถิปุตตสมสูตร เทวดากล่าวว่า"ความรักเสมอด้วยความรักบุตรไม่มี ทรัพย์เสมอด้วยโคไม่มีแสงสว่างเสมอด้วยดวงอาทิตย์ไม่มี สระทั้งหลายมีทะเลเป็นอย่างยิ่ง" ดังนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า"ความรักเสมอด้วยความรักตนไม่มี ทรัพย์เสมอด้วยข้าวเปลือกไม่มีแสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี ฝนต่างหากเป็นสระยอดเยี่ยม" ดังนี้ ในพระสูตร ข้อแรกเทวดากล่าว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปฏิเสธ พระสูตรนี้จึงชื่่อว่า ปฏิกขิตตะ ฯ
       พระสูตรว่า
       "ดูกรภิกษุทั้งหลาย กิจที่่ไม่ควรทำ 3 อย่างเหล่านี้ 3 อย่างเป็นไฉน คือ กายทุจริต 1 วจีทุจริต 1 มโนทุจริต 1 ดูกรภิกษุทั้งหลาย กิจที่ไม่ควรทำ 3 อย่างเหล่านี้แล" ดังนี้ ข้อนี้ ปฏิกขิตตะ (เพราะเป็นคำที่ทรงห้าม) ฯ
       [124] ในสาสนปัฏฐาน 28 นั้น "อนุญญาตะและปฏิกขิตตะเป็นไฉน"ในภีตสูตร เทวดาทูลถามว่า "ประชุมชนเป็นอันมากในโลกนี้ กลัวอะไรหนอ ก็มรรค พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ด้วยเหตุมิใช่น้อย ข้าแต่พระโคดมผู้มีปัญญาดุจแผ่นดิน ข้าพระองค์ ขอถามถึงเหตุนั้นว่า บุคคลตั้งอยู่ในธรรมอะไรแล้วไม่พึงกลัวปรโลก" ดังนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า"บุคคลตั้งวาจาและใจชอบแล้ว ไม่พึงทำบาปด้วยกาย บุคคลผู้อยู่ครอบครองเรือนที่มีข้าวและน้ำมาก เป็นผู้มีศรัทธา มีจิตอ่อน (ไม่กระด้าง)เป็นผู้รู้ถ้อยคำของยาจกแล้วพึงจำแนกแจกทาน บุคคลตั้งอยู่ในธรรม 4อย่างเหล่านี้ ชื่อว่า ผู้ตั้งอยู่ในธรรมแล้ว ไม่ต้องกลัวปรโลก" ดังนี้ ในพระสูตรนั้น คำที่กล่าวว่า"บุคคลตั้งวาจาและใจชอบ" ข้อนี้ เป็นอนุญญาตะ (ทรงอนุญาต)และคำว่า "ไม่พึงทำบาปด้วยกาย" ข้อนี้ ชื่อว่า ปฏิกขิตตะ (ทรงห้าม) ฯ
       ข้อว่า "อยู่ครอบครองเรือนที่มีข้าวและน้ำมาก มีศรัทธา มีจิตอ่อนรู้ถ้อยคำของยาจกแล้วจำแนกแจกทาน บุคคลตั้งอยู่ในธรรม 4 เหล่านี้แล้ว ไม่พึงกลัวปรโลก" ข้อนี้ ชื่อว่า อนุญญาตะและปฏิกขิตตะ ฯ
       ในธรรมบท พุทธวรรคตรัสว่า"การไม่ทำบาปทั้งปวง การยังกุศลให้ถึงพร้อม การยังจิตให้ผ่องแผ้วนี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย" ในพระคาถานั้น คำว่า "การไม่ทำบาปทั้งปวง" นี้เป็นปฏิกขิตตะ ฯ คำว่า "การยังกุศลให้ถึงพร้อม"นี้เป็นอนุญญาตะ ฯ คาถานี้ เป็นอนุญญาตะและปฏิกขิตตะ ฯ
       ในสักกปัญหสูตรตรัสว่า"ดูกรจอมเทพ อาตมภาพกล่าวกายสมาจาร โดยแยกเป็น 2 คือที่่ควรเสพก็มี ไม่ควรเสพก็มี วจีสมาทานก็แยกเป็น 2 คือ ที่ควรเสพก็มีไม่ควรเสพก็มี มโนสมาทานก็แยกเป็น 2 คือ ที่่ควรเสพก็มี ไม่ควรเสพก็มี ฯลฯ การแสวงหาก็แยกเป็น 2 คือ ที่ควรเสพก็มี ที่ไม่ควรเสพก็มีดูกรจอมเทพ อาตมภาพกล่าวกายสมาจารโดยแยกเป็น 2 คือ ที่ควรเสพก็มี ที่ไม่ควรเสพก็มี ก็การกล่าวถึงสมาจารข้อนี้ เพราะอาศัยอะไรกล่าวแล้ว ในกายสมาจาร 2 นั้น เมื่อบุคคลเสพอยู่ซึ่งกายสมาจารอย่างไร อกุศลธรรมเจริญขึ้น กุศลธรรมย่อมเสื่อม กายสมาจารเห็นปานนี้ไม่ควรเสพ ใน 2 อย่างนั้น บุคคลรู้กายสมาจารใดว่า เมื่อเราเสพกายสมาจารนี้ อกุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อม กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเจริญขึ้นกายสมาจารเห็นปานนี้ควรเสพ ดูกรจอมเทพ อาตมภาพกล่าวกายสมาจารโดยแยกเป็น 2 คือ ที่ควรเสพก็มี ไม่ควรเสพก็มี อาศัยข้อนี้แลกล่าวแล้วดูกรจอมเทพ วจีสมาทาน ฯลฯ ดูกรจอมเทพ อาตมภาพกล่าวว่า การแสวงหา โดยแยกเป็น 2 คือ ที่ควรเสพก็มี ไม่ควรเสพก็มี ข้อนั้นอาศัยอะไรกล่าวแล้ว ใน 2 อย่างนั้น เมื่อบุคคลเสพการแสวงหาใด อกุศลธรรมทั้งหลายย่อมเจริญ กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อม การแสวงหาเห็นปานนี้ไม่ควรเสพ ในการแสวงหานั้น เมื่อบุคคลรู้ถึงการแสวงหาอันใดว่าเมื่อเราเสพการแสวงหานี้แล อกุศลธรรมย่อมเสื่อม กุศลธรรมย่อมเจริญดังนี้ การแสวงหาเห็นปานนี้ควรเสพ ดูกรจอมเทพ อาตมภาพอาศัยข้อนี้แลกล่าวแล้ว"
       ในกายสมาจารเป็นต้นนั้น คำที่กล่าวว่า "ควรเสพก็มี" ข้อนี้เป็นอนุญญาตะ ฯ คำว่า "ไม่ควรเสพก็มี" ข้อนี้เป็นปฏิกขิตตะ ฯ พระสูตรนี้เป็นอนุญญาตะและปฏิกขิตตะ ฉะนี้แล ฯ
       [125] ในสาสนปัฏฐาน 28 นั้น "ถวะเป็นไฉน"
       ในคาถาธรรมบท มรรควรรคตรัสว่า "ทาง (มรรค) มีองค์ 8ประเสริฐกว่าทางทั้งหลาย บท 4 (คืออริยสัจ 4) ประเสริฐกว่าสัจจะทั้งหลาย (คือสมมติสัจจะมีวจีสัจจะและขัตติยสัจจะเป็นต้น) บรรดาธรรมทั้งหลายวิราคะประเสริฐที่สุด และพระตถาคตผู้มีพระจักษุประเสริฐกว่าสัตว์ 2 เท้า"ดังนี้ คาถานี้ ชื่อว่า ถวะ (การสรรเสริญ) ฯ
       ในอัคคปสาทสูตรตรัสว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เลิศมี 3 ประการเหล่านี้ 3 ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายมีประมาณเพียงใด ไม่มีเท้าก็ตาม มี 2 เท้าก็ตาม มี 4 เท้าก็ตาม มีเท้ามากก็ตามมีรูปหรือไม่มีรูปก็ตาม มีสัญญาหรือไม่มีสัญญาก็ตาม มีสัญญาก็ไม่ใช่ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ก็ตาม พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า บัณฑิตกล่าวว่า เลิศ ประเสริฐ ประเสริฐที่สุดกว่าสัตว์เหล่านั้น ดูกรภิกษุทั้งหลายธรรมทั้งหลายที่มีปัจจัยปรุงแต่ง หรือไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง มีประมาณเท่าใด วิราคะ บัณฑิตกล่าวว่า เลิศ ประเสริฐ ประเสริฐที่สุดกว่าธรรมเหล่านั้น วิราคะนี้ใด เป็นธรรมย่ำยีความเมา กำจัดความกระหาย ถอนขึ้นซึ่งความอาลัย เข้าไปตัดวัฏฏะ เป็นธรรมที่สิ้นตัณหา คลายความกำหนัดเป็นความดับ เป็นนิพพาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัญญัติแห่งหมู่ทั้งหลายบัญญัติแห่งคณะทั้งหลาย หรือบัญญัติแห่งมหาชนที่ประชุมกันทั้งหลายหมู่แห่งสาวกของพระตถาคต บัณฑิตกล่าวว่า เลิศ ประเสริฐ ประเสริฐที่สุดกว่าหมู่เหล่านั้น หมู่นี้ใด คือ คู่แห่งบุรุษ 4 ได้แก่ บุรุษบุคคล 8 ฯลฯ เป็นนาบุญของโลก" ดังนี้คาถา ถวะรัตนตรัยพระศาสดาเป็นผู้ประเสริฐยิ่งกว่าสิ่งทั้งปวงในโลก พระธรรมอันพระองค์ทรงแสดง โดยความเป็นกุศล ปราศจากมลทินทั้งหลาย หมู่แห่งพระอริยสงฆ์องอาจดังนรสีหะ รัตนะ 3 นั้นแล ย่อมประเสริฐกว่ารัตนะทั้งปวงคณะคือการประชุมแห่งพระสมณะ งามอยู่ดุจดอกปทุม พระธรรมอันประเสริฐอันวิญญูชนทั้งหลายทำสักการะแล้ว พระตถาคตผู้มีพระจักษุทรงฝึกนระผู้ประเสริฐ (มีพรหมเป็นต้น) รัตนะ 3 นั้นแล เป็นรัตนะสูงยิ่งของโลกพระศาสดาไม่มีผู้เปรียบ พระธรรมดับความเร่าร้อนทั้งปวง พระอริยสงฆ์เป็นหมู่อันประเสริฐ รัตนะ 3 นั้นแล ย่อมประเสริฐโดยส่วนเดียวพระชินะผู้สงบมีพระนามตามเป็นจริง ทรงครอบงำสรรพสิ่งแห่งโลกดำรงอยู่ พระธรรมเป็นสัจจะของพระชินะนั้น หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ หมู่แห่งพระอริยะอันบัณฑิตบูชาแล้วเป็นนิตย์ รัตนะ 3 นั้นแล เป็นรัตนะอันสูงสุด
       แห่งชาวโลก
       สหัมบดีพรหมประพันธ์คาถาว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเห็นความสิ้นชาติและที่สุดแห่งชาติ ทรงอนุเคราะห์ด้วยประโยชน์เกื้อกูล ทราบทางเป็นที่ไปอันเอก ในกาลก่อนชนทั้งหลายข้ามโอฆะด้วยทางนี้ ในอนาคตก็จักข้ามด้วยทางนี้ และในบัดนี้ก็ข้ามอยู่ด้วยทางนี้ ดังนี้เหล่าสัตว์หวังอยู่ซึ่งความหมดจด ย่อมนมัสการพระสัมมาสัมพุทธะผู้คงที่ผู้ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์พระองค์นั้น ดังนี้ คาถานี้ ชื่อว่า ถวะ ฯ
       ในพระสูตร 16 นั้น พระสูตรที่เป็นโลกียะ พึงแสดงด้วยพระสูตรทั้ง 2คือ ด้วยสังกิเลสภาคิยสูตรและวาสนาภาคิยสูตร พระสูตรที่่เป็นโลกุตตระพึงแสดงด้วยพระสูตร 3 คือ ทัสสนภาคิยสูตร ภาวนาภาคิยสูตร และอเสกขภาคิยสูตร พระสูตรที่เป็นทั้งโลกียะทั้งโลกุตตระ บท(ส่วน) ใด ๆ คือ ส่วนแห่งสังกิเลส หรือส่วนแห่งวาสนาย่อมปรากฏในพระสูตรส่วนใด ก็พึงแสดงโลกียะโดยส่วนนั้น ๆ บทใด ๆ อันเป็นส่วนทัสสนะ หรือเป็นภาวนา หรือเป็นอเสกขะก็พึงแสดงโลกุตตระ โดยส่วนนั้น ๆ ฯ
       พระสูตรอันเป็นส่วนแห่งวาสนา ย่อมเป็นไปเพื่อละพระสูตรอันเป็นส่วนแห่งสังกิเลส พระสูตรอันเป็นส่วนแห่งทัสสนะ ย่อมเป็นไปเพื่อละพระสูตรอันเป็นส่วนแห่งวาสนา พระสูตรอันเป็นส่วนแห่งภาวนา ย่อมเป็นไปเพื่อละพระสูตรอันเป็นส่วนแห่งทัสสนะ พระสูตรอันเป็นส่วนแห่งพระอเสกขะ ย่อมเป็นไปเพื่อการสละออกจากพระสูตรอันเป็นส่วนแห่งภาวนา ฯ
       พระอริยบุคคล 26
       พระสูตรโลกุตตระ ที่เป็นสัตตาธิฏฐาน พึงแสดงด้วยบุคคล 26 พวกบุคคล 26 เหล่านั้น บัณฑิตพึงแสวงหาด้วยพระสูตร 3 อย่าง คือพระสูตรอันเป็นส่วนแห่งทัสสนะ พระสูตรอันเป็นส่วนแห่งภาวนา พระสูตรอันเป็นส่วนแห่งพระอเสกขะ (ที่เป็นสัตตาธิฏฐาน) ฯ
       ในพระสูตร 3 เหล่านั้น พระสูตรอันเป็นส่วนแห่งทัสสนะ พึงแสดงด้วยบุคคล 5 คือ เอกพีชี 1 โกลังโกละ 1 สัตตักขัตตุปรมะ 1 สัทธานุสารี 1 และธัมมานุสารี 1 พระสูตรอันเป็นส่วนแห่งทัสสนะพึงแสดงด้วยบุคคล 5 เหล่านี้ ฯ
       พระสูตรอันเป็นส่วนแห่งภาวนา พึงแสดงด้วยบุคคล 12 คือ บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อการกระทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล 1 พระสกทาคามี 1 บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่่อกระทำให้แจ้งซึ่่งอนามิผล 1 พระอนาคามี 1 ผู้เป็นอันตราปรินิพพายี 1 ผู้เป็นอุปหัจจปรินิพพายี 1 ผู้เป็นอสังขารปรินิพพายี 1 ผู้เป็นสสังขารปรินิพพายี 1 ผู้เป็นอุทธังโสโตอกนิฏฐคามี 1 บุคคลผู้สัทธาวิมุตติ 1 บุคคลผู้ทิฏฐิปัตตะ 1และบุคคลผู้กายสักขี 1 พระสูตรอันเป็นส่วนแห่งภาวนา พึงแสดงด้วยบุคคล 12 เหล่านี้ ฯ
       พระสูตรอันเป็นส่วนแห่งพระอเสกขะ พึงแสดงด้วยบุคคล 9 คือสัทธาวิมุตตบุคคล 1 ปัญญาวิมุตตบุคคล 1 สุญญตวิมุตตบุคคล 1อนิมิตตวิมุตตบุคคล 1 อัปปณิหิตวิมุตตบุคคล 1 อุภโตภาควิมุตตบุคคล 1สมสีสีบุคคล 1 ปัจเจกพุทธะ 1 และสัมมาสัมพุทธะ 1 พระสูตรอันเป็นส่วนแห่งพระอเสกขะ พึงแสดงด้วยบุคคล 9 เหล่านี้ โลกุตตรสูตรเป็นสัตตาธิฏฐานพึงแสดงด้วยบุคคล 26 เหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้ ฯ
       ปุถุชน 19 พวก
       โลกียสูตรที่่เป็นสัตตาธิฏฐาน พึงแสดงด้วยบุคคล 19 พวก บุคคล 19เหล่านั้น พึงยกขึ้นแสดงด้วยจริตทั้งหลาย คือ คนราคจริตพวก 1 คนโทสจริตพวก 1 คนโมหจริตพวก 1 บางพวกเป็นราคจริตและโทสจริต 1 บางพวกเป็นราคจริตและโมหจริต 1 บางพวกเป็นโทสจริตและโมหจริต 1 บางพวกเป็นราคจริต โทสจริตและโมหจริต 1 บางพวกตั้งอยู่ในทาง (ปริยุฏฐาน) แห่งราคะเป็นราคจริต 1 บางคนตั้งอยู่ในทางแห่งราคะเป็นโทสจริต 1 บางคนตั้งอยู่ในทางแห่งราคะเป็นโมหจริต 1 บางคนตั้งอยู่ในทางแห่งราคะเป็นราคจริตโทสจริต โมหจริต 1 บางคนตั้งอยู่ในทางแห่งโทสะเป็นโทสจริต 1 บางคนตั้งอยู่ในทางแห่งโทสะ เป็นราคจริต โทสจริต โมหจริต 1 บางคนตั้งอยู่ในทางแห่งโมหะเป็นโมหจริต 1 บางคนตั้งอยู่ในทางแห่งโมหะเป็นราคจริต 1บางคนตั้งอยู่ในทางแห่งโมหะ เป็นโทสจริต 1 บางคนตั้งอยู่ในทางแห่งโมหะเป็นราคจริต โทสจริต โมหจริต 1 โลกียสูตรเป็นสัตตาธิฏฐาน พึงแสดงด้วยบุคคล 19 เหล่านี้ ฯ
       บุคคลมีศีล 5 พวกพระสูตรอันเป็นส่วนแห่งวาสนา พึงแสดงด้วยบุคคลมีศีล บุคคลผู้มีศีลเหล่านั้นมี 5 พวก คือมีปกติศีล 1 สมาทานศีล 1 มีความผ่องใสแห่งจิต 1มีสมถะ 1 มีวิปัสสนา 1 พระสูตรอันเป็นส่วนแห่งวาสนา พึงแสดงด้วยบุคคล 5 พวกเหล่านี้ ฯ
       พระสูตรโลกุตตระ เป็นธัมมาธิฏฐาน พึงแสดงด้วยพระสูตร 3 คือ พระสูตรอันเป็นส่วนแห่งทัสสนะ 1 พระสูตรอันเป็นส่วนแห่งภาวนา 1 พระสูตรอันเป็นส่วนแห่งพระอเสกขะ 1 ฯ
       พระสูตรที่เป็นโลกียะและโลกุตตระ พระสูตรที่เป็นทั้งสัตตาธิฏฐานทั้งธัมมาธิฏฐาน พึงแสดงโดยส่วนทั้ง 2 ญาณอันมาแล้วในพระสูตรนั้น ๆบัณฑิตพึงแสดงด้วยปัญญา อันเป็นปริยายแห่งญาณ คือ ด้วยปัญญินทรีย์ด้วยปัญญาพละ ด้วยอธิปัญญาสิกขา ด้วยธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ด้วยสัมมาทิฏฐิด้วยการพิจารณา ด้วยการสอบสวน ด้วยธัมมญาณ ด้วยอนุโลมญาณ ด้วยขยญาณ ด้วยอนุปาทญาณ ด้วยอนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ ด้วยอัญญินทรีย์ด้วยอัญญาตาวินทรีย์ ด้วยปัญญาจักษุ ด้วยวิชชา ด้วยความรู้ ด้วยภูริปัญญาด้วยปัญญาเป็นเครื่่องฆ่ากิเลส หรือญาณมาแล้วในที่ใด ๆ ย่อมได้ในที่ใด ๆก็พึงแสดงด้วยชื่อของปัญญานั้น ๆ ฯ
       เญยยะ (ไญยธรรม) พึงแสดงด้วยธรรมที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบันด้วยอายตนะภายในและภายนอก ด้วยธรรมอันเลวและประณีต ด้วยธรรมใกล้และไกล ด้วยสังขตะและอสังขตะ ด้วยกุศลอกุศลและอัพยากตะ หรือโดยสังเขป แสดงด้วยอารมณ์ 6 ฯ
       ญาณและเญยยะทั้ง 2 มาในพระสูตรใด ก็พึงแสดงในพระสูตรนั้น แม้ปัญญาก็ชื่อว่า เญยยะ (คือสิ่งที่ควรรู้) เพราะเป็นอารมณ์ อายตนะภายในและอายตนะภายนอกอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอารมณ์ ก็พึงแสดงอายตนะทั้งปวงนั้นตามความเป็นจริง ด้วยสังขตะและอสังขตะ ฯ
       ในพระสูตรทั้งปวง คือ ทัสสนสูตร ภาวนาสูตร สกวจนสูตร ปรวจนสูตรวิสัชชนียสูตร อวิสัชชนียสูตร กรรมสูตร วิปากสูตร บัณฑิตพึงแสดงพระสูตรทั้ง 2 (รวมกัน) ตามที่่ได้ในพระสูตรนั้น หรือตรัสไว้อย่างไร ใคร่ครวญแล้วแสดงตามพระดำรัสนั้น ฯ
       เหตุมี 2 คือ กรรม 1 กิเลส 1 ในที่นี้ ได้แก่ สมุทัยและกิเลส ในสมุทัยและกิเลสนั้น กิเลสพึงแสดงด้วยพระสูตรอันเป็นส่วนแห่งสังกิเลส สมุทัยพึงแสดงด้วยพระสูตร 2 คือ สังกิเลสภาคิยะและวาสนาภาคิยะ ฯ
       ในสาสนปัฏฐาน 28 นั้น กุศลพึงแสดงด้วยพระสูตร 4 คือ วาสนาภาคิยสูตร 1 ทัสสนภาคิยสูตร 1 ภาวนาภาคิยสูตร 1 และอเสกขภาคิยสูตร 1 ฯ
       อกุศลพึงแสดงด้วยสังกิเลสภาคิยสูตร ฯ กุศลและอกุศลพึงแสดงด้วยพระสูตร 2 อย่าง ฯ อนุญญาตะ (ธรรมที่ทรงอนุญาต) พึงแสดงด้วยพระสูตรที่ทรงอนุญาต ก็อนุญญาตะนั้น มี 5 อย่าง สังวร 1 ปหานะ 1 ภาวนา 1 สัจฉิกิริยา 1 กัปปิยานุโลม 1 ก็ข้ออนุญาตใด ที่ทรงแสดงไว้ในภูมินั้น ๆ มีปุถุชนภูมิเป็นต้นข้อที่อนุญาตนั้น พึงแสดงโดยกัปปิยะ (สิ่งที่ควร) และสิ่งที่อนุโลมเข้ากับกัปปิยะในมหาปเทส ฯ ปฏิกขิตตะ (ข้อที่ห้าม) พึงแสดงด้วยพระสูตรที่ห้ามมิให้เป็นไปแห่งราคะเป็นต้นฯ อนุญญาตะและปฏิกขิตตะทั้ง 2 ก็พึงแสดงด้วยพระสูตร 2อย่าง ฯ
       ถวะ (การสรรเสริญ หรือการยกย่อง) บัณฑิตพึงแสดงด้วยพระสูตรที่แสดงการยกย่อง ถวะ คือ สิ่งที่ควรยกย่อง มี 5 อย่าง คือ พระผู้มีพระภาคเจ้า 1 อสังขตธรรม 1 หมู่แห่งพระอริยะ 1 อริยธรรมสิกขาคือมรรคและผล 1และการถึงพร้อมด้วยโลกียคุณ 1 การสรรเสริญพึงแสดงด้วยการยกย่อง 5 อย่างนี้ ฯ
       มูลบท 18 อย่าง
       อินทริยภูมิ มีสัทธินทรีย์เป็นต้น พึงแสดงด้วยบททั้งหลาย 9 บท มีสมถะเป็นต้น กิเลสภูมิ พึงแสดงด้วยบท 9 มีตัณหาเป็นต้น บท 18 คือกุศลมี 9 อกุศลมี 9 ย่อมมีด้วยประการฉะนี้ ฯ คำใดที่บัณฑิตกล่าวไว้ว่า"มูลบท 18 ประการ บุคคลพึงทราบ ณ ที่ไหน คำนั้น บัณฑิต ย่อมกล่าวว่าในสาสนปัฏฐาน" ดังนี้ เพราะเหตุนั้น ท่านพระมหากัจจายนะ จึงกล่าวว่า"กุศลประกอบด้วยบท 9 ฝ่ายอกุศลประกอบด้วยบท 9 เป็นมูลเหล่านี้แล มูลเหล่านั้นมี 18 อย่าง" ดังนี้
       จบ สาสนปัฏฐาน
       เนตติปกรณ์ใด อันท่านพระมหากัจจายนะได้ภาษิตไว้ด้วยอรรถะมีประมาณเท่านี้ (โดยย่อ) เนตติปกรณ์นั้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุโมทนาแล้วอันพระธัมมสังคาหกาจารย์ทั้งหลายร้อยกรองไว้ ในสังคีติครั้งแรก ฉะนี้แล ฯ
       จบ เนตติปกรณ์
       
[สารบัญ] | หน้าค้นหา
(ไม่สงวนลิขสิทธิ์)